- • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ส.ค.67 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
- • ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน
- • ผู้บริโภคกังวลเกี่ยวกับ:
- • เศรษฐกิจชะลอตัว
- • ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
- • เศรษฐกิจโลกชะงัก
- • สงครามยืดเยื้อ
- • คาดการณ์ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแนวโน้มลดลงต่อไป
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ส.ค.67 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และต่ำสุดในรอบ 13 เดือน หลังคนกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว พลังงานเพิ่ม เศรษฐกิจโลกชะงัก สงครามยืดเยื้อ คาดความเชื่อมั่นมีแนวโน้มเพิ่ม หากรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งเบิกจ่าย แจกดิจิทัล วอลเล็ต ดันเศรษฐกิจปีนี้โต 2.6-2.8%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (CCI) เดือน ส.ค.2567 ปรับตัวลดลงจากระดับ 57.7 เป็น 56.5 เป็นการปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนนับตั้งแต่เดือน ส.ค.2566 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 41.5 เป็น 40.4 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 65.4 มาอยู่ที่ระดับ 64.3 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เช่นเดียวกัน
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 50.2 53.9 และ 65.6 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือน ก.ค.2567 ที่อยู่ในระดับ 51.3 54.9 และ 66.8 ตามลำดับ
สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นลดลง มาจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า เพราะยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนของรัฐบาลใหม่ ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และผู้บริโภคยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางและสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้ออาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย
“ผู้บริโภคเริ่มไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเริ่มมีเสถียรภาพ เนื่องจากประชาชนยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม แต่คาดว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคตอันใกล้ หากรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในปลายไตรมาสที่ 3 และภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.6-2.8% ในปีนี้ แต่ถ้าไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 2.4-2.6%”นายธนวรรธน์กล่าว