- • ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในเดือนกรกฎาคม 2567 มูลค่า 547.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- • รวมทองคำ ส่งออกมูลค่า 1,728.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 114.28%
- • การส่งออกทองคำ เพิ่มขึ้น 434.13% เนื่องจากการเก็งกำไรหลังราคาทองทำนิวไฮใหม่
- • จับตา G7 ห้ามนำเข้าทองคำรัสเซีย อาจส่งผลต่อตลาดทองคำในอนาคต
ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ก.ค.67 มูลค่า 547.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 6.47% หากรวมทองคำ มูลค่า 1,728.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 114.28% เฉพาะส่งออกทองเพิ่ม 434.13% เหตุมีการส่งออกทองคำไปเก็งกำไร หลังราคาทำนิวไฮใหม่ จับตา G7 ห้ามนำเข้าเพชรรัสเซีย เพิ่มแรงกดดันค้าเพชร
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำ เดือน ก.ค.2567 มีมูลค่า 547.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.47% ลดลงติดต่อกัน 2 เดือน เนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยื้ดเยื้อ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภค ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจการค้าในหลายประเทศหลังการเลือกตั้ง และเงินบาทแข็งค่าส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน และหากรวมทองคำ มีมูลค่า 1,728.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 114.28% ส่วนยอดรวม 7 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ก.ค.) การส่งออกไม่รวมทองคำ มีมูลค่า 5,103.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.65% หากรวมทองคำ มูลค่า 9,301.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.86%
สำหรับการส่งออกทองคำเดือน ก.ค.2567 มีมูลค่า 1,180.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 434.13% เนื่องจากราคาทองคำในเดือน ก.ค. ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,480.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลดอลลาร์ การปรับลดของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ย และกองทุนทองคำ SPDR มีการซื้อทองคำเพิ่ม ทำให้มีการส่งออกไปเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนยอดรวม 7 เดือน ส่งออกทองคำมีมูลค่า 4,198.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 24.06% และหากแยกการส่งออกทองคำเป็นรายเดือน ม.ค. มูลค่า 469.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 194.17% ก.พ. มูลค่า 740.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 309.51% มี.ค. มูลค่า 391.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 75.02% เม.ย. มูลค่า 288.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 64.57% พ.ค. มูลค่า 582.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 135.39% มิ.ย. 544.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 184.12%
นายสุเมธกล่าวว่า แนวโน้มการส่งออก คาดว่า จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกชะลอตัวลงต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้บริโภค โดยตลาดหลักทั้งยุโรป และจีน เริ่มฟื้นตัวและมีการบริโภคเพิ่มขึ้น ประเทศในยูโรโซนฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุด แต่การเติบโตช่วงครึ่งปีหลังยังอยู่ในระดับต่ำและยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ทั้งจีน อินเดีย ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักสำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่ความตึงเครียดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า ยังเป็นประเด็นที่อาจกดดันต่อไป รวมทั้งการขยายมาตรการของประเทศกลุ่ม G7 ในการห้ามนำเข้าเพชรที่มีแหล่งกำเนิดจากรัสเซียตั้งแต่ขนาด 0.5 กะรัตขึ้นไป ในวันที่ 1 ก.ย.2567 ที่ผ่านมา จะยิ่งสร้างความกดดันต่อผู้ส่งออกเพชรมากยิ่งขึ้น