xs
xsm
sm
md
lg

กกร.ร้องรัฐเร่งสกัดสินค้านำเข้าจีนด้อยคุณภาพ เจอ “TEMU” บุกไทยเร่ง SMEs ปิดตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กกร.เรียกร้องให้รัฐเข้มงวดนำเข้าสินค้าจีนนำเข้าที่ด้อยคุณภาพ เลี่ยงภาษีและผลกระทบจากอี-คอมเมิร์ซจีน “TEMU” บุกไทย ขายสินค้าตรงจากโรงงานจีนจึงมีราคาถูกมาก หวั่นเป็นตัวเร่งบีบให้ SMEs ปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจาก 6 เดือนแรกปีนี้มีโรงงานปิดตัวไปแล้วกว่า 667 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 86.31% ชี้ส่วนใหญ่เป็น SMEsไทย แต่โรงงานที่เปิดใหม่กว่า 1 พันโรงเป็นต่างชาติส่วนใหญ่ ระบุแค่ 6 เดือนไทยขาดดุลจีนไปแล้ว 19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.66%

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.มีความกังวลต่อการขาดดุลการค้าระหว่างไทยกับจีน ที่ล่าสุด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% เมื่อเทียบจากปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน -19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.66% ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตกว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรม

อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมจาก Platform e-commerce จีนอย่าง TEMU ที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศโดยขายสินค้าจากโรงงานตรงสู่ผู้บริโภคในราคาถูก ซึ่งเป็นการค้ารูปแบบใหม่ของจีน ยิ่งกดดันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก( SMEs ) เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันทั้งด้านราคา และต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าได้

ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ ภายใต้เมกะเทรนด์ของโลกที่มีสินค้าไม่ได้คุณภาพเข้ามาตีตลาดจากภาวะ Over Supply ที่ประชุม กกร.จึงขอเสนอให้รัฐบาลเข้มงวดการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า กำกับและควบคุมสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี โดยบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าภายในประเทศอย่างเข้มข้น โดยสร้าง Ecosystem ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย และ Supply Chain ไทยมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน อย่างยั่งยืน (Thai-Chinese Center for Business Sustainability (TCCBS)) เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-จีน ให้อยู่ในกรอบของผลประโยชน์ร่วมกันภายใต้กรอบของกฎหมายของทั้งสองประเทศและกติกาสากล


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกร.ได้แสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ภาคการผลิตที่หดตัว ถึงแม้ว่า 6 เดือนแรกของปี 2567 จะมีจำนวนการเปิดโรงงานขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีโรงงานเปิดกิจการกว่า 1,009 แห่ง เพิ่มขึ้น 122.67% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนผ่าน BOI แต่ในขณะเดียวกัน จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมพบว่ามีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรกแล้วกว่า 667 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า +86.31% หรือเฉลี่ย 111 แห่ง/เดือน และหากพิจารณามูลค่าโรงงานต่อโรงที่ปิดตัว พบว่ามีเงินทุนลดลงเหลือเฉลี่ย 27.12 ล้านบาทต่อโรงงาน

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก หรือ SMEs ที่มีการปิดโรงงานในอัตราส่วนที่เร่งขึ้น ดังนั้น กกร.อยู่ระหว่างเตรียมข้อเสนอเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand) เพื่อช่วยจัดสรรเม็ดเงินลงระบบในราย Sector การสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อรองรับ EV และ Transform ไปยังธุรกิจใหม่ การส่งเสริม SMEs การบริหารจัดการ waste ของภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับ Industry 4.0 เป็นต้น

ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว เครื่องชี้ด้านการผลิต PMI Manufacturing เดือนกรกฎาคมของประเทศหลักทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ต่างหดตัว โดยที่กำลังซื้อในประเทศของจีนยังชะลอตัว ขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับตลาดแรงงานที่แผ่วลงกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบในครึ่งปีหลัง ถือเป็นความท้าทายต่อการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งขยายตัวได้เพียง 2% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ภาวะตลาดการเงินโลกเกิดความผันผวน ทั้งเฟดส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงขึ้น สวนทางกับธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดยรวมทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมไทยในอาเซียนลดลง ส่วนแบ่งตลาดส่งออกในอาเซียนของไทยลดลงในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก 12.7% (1Q/66) เหลือ 11.5% (1Q/67) และยานยนต์ลดลงจาก 20.9% (1Q/66) เหลือ 18.7% (1Q/67) เป็นผลจากที่จีนได้ส่งออกสินค้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนมากขึ้น โดยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรม 6 เดือนแรกของปีหดตัว 1.8% นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการรุกตลาดอีคอมเมิร์ซของสินค้าจีน

ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเปราะบางแม้การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐจะเริ่มนำเม็ดเงินเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณทำให้การใช้จ่ายของรัฐกลับมาขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่ากว่า 15% ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวสะท้อนจากยอดโอนอสังหาฯ 5 เดือนแรก/67 หดตัว -8.8% ยอดจำหน่ายรถยนต์ 6 เดือนแรก/67 หดตัวต่อเนื่องที่ -24% และการส่งออกที่ยังขยายตัวได้น้อย ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะทยอยกลับมาฟื้นตัว


นายผยงกล่าวว่า จากการที่รัฐมีข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจไทยมีการลงทุนน้อย มีสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ต่ำกว่า 25% ลดลงจากที่เคยสูงเกือบ 30% ในขณะที่มีการออมในระดับสูงจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีเงินทุนไหลออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นการเสียโอกาสในการนำเม็ดเงินมาลงทุนปรับโครงสร้างการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ โดย กกร.เห็นตรงกับภาครัฐว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเสนอให้ภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนทางภาษีอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเมืองรองและสนับสนุนการลงทุนโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (local content) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเมกะเทรนด์ การลงทุนเพื่อรองรับสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงปรับปรุงหลักเกณฑ์และกฎหมายเพื่อลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) และความพร้อมเรื่องทรัพยากรบุคคล

ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังมีความน่ากังวล ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ที่รายงานโดยเครดิตบูโรยังมีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนพฤษภาคมสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% สะท้อนภาพการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง เห็นว่ามีความจำเป็นที่ภาครัฐจะเร่งรัดผันเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจโดยที่ส่วนหนึ่งมุ่งเน้นการยกระดับกลุ่มฐานราก และภาคการผลิตใน Real Sector ให้มีความสามารถในการแข่งขัน และสร้างรายได้ให้กับกิจการและแรงงานตลอด Supply Chain อย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ลูกหนี้และภาคธุรกิจเข้าร่วมการปรับโครงสร้างหนี้หรือรวมหนี้เพื่อลดภาระหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ รวมทั้งเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปีเป็นความจำเป็นเร่งด่วนโดยเฉพาะการกระตุ้นกิจกรรมก่อสร้างภาครัฐให้กลับคืนมา ซึ่งจะช่วยหนุนภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องรวมทั้งการจ้างงานให้ฟื้นตัวดีขึ้นโดยเร็ว


กำลังโหลดความคิดเห็น