ส.อ.ท.เผยผลสำรวจ FTI CEO Poll มองเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยครึ่งหลังปี 2567 มีแนวโน้มธุรกิจและยอดขายไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงจากครึ่งปีแรกที่ยังทรงตัว มองเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวต่ำกว่า 2% หวังการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐช่วยหนุนในช่วงไตรมาส 3/67 และกังวลการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 40 ในเดือนกรกฎาคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยครึ่งปีหลัง” จากการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 143 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อสะท้อนมุมมองและความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท.ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของปี 2567 รวมทั้งข้อเสนอแนะทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนที่มีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีสรุปผลการสำรวจดังนี้
1) ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ธุรกิจและยอดขายมีทิศทางอย่างไรเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 1 : ทรงตัว 30.8%
อันดับ 2 : หดตัว 1-10% 23.8%
อันดับ 3 : ขยายตัว 1-10% 21.0%
อันดับ 4 : หดตัวมากกว่า 10% 19.6%
อันดับ 5 : ขยายตัวมากกว่า 10% 4.9%
2) ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจและยอดขายอย่างไรเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก
อันดับ 1 : ไม่เปลี่ยนแปลง 39.8%
อันดับ 2 : แย่ลง 32.2%
อันดับ 3 : ดีขึ้น 28.0%
3) ปัจจัยสนับสนุนที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567
อันดับ 1 : การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 56.0%
อันดับ 2 : ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 41.4%
อันดับ 3 : การส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 38.8%
อันดับ 4 : มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ขยายตัว ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 21.6%
4) ปัจจัยเสี่ยงเรื่องใดที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
อันดับ 1 : การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ 54.5%
อันดับ 2 : ต้นทุนการผลิตที่ผันผวนอยู่ในระดับสูงทั้งจากค่าไฟฟ้า พลังงาน ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่ง 51.0%
อันดับ 3 : สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศและตลาดเป้าหมายของไทย 38.5%
อันดับ 4 : กำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัวจากหนี้ครัวเรือนและ NPL ที่อยู่ในระดับสูง 35.7%
5) ภาครัฐควรดำเนินมาตรการใดเพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
อันดับ 1 : ส่งเสริมกลไกการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะ (Pay by Skill) แทนการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 55.9% อันดับ 2 : ส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือ Made in Thailand ในภาคเอกชนผ่านมาตรการทางภาษี 50.3% อันดับ 3 : แก้ไขปัญหาหนี้สินของ SMEs และหนี้ครัวเรือนที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย (NPL) 47.6% อันดับ 4 : มาตรการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต 41.3%
6) ผู้ประกอบการควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างไร
อันดับ 1 : นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ๆ 67.1% อันดับ 2 : นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต เช่น LEAN Manufacturing 47.6% อันดับ 3 : สร้างเครือข่ายและพันธมิตรเพื่อร่วมกันแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ 47.6%
อันดับ 4 : ขยายตลาดใหม่หรือทำตลาดในหลายประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว 45.5%
7) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ภาครัฐควรเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมในเรื่องใด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
อันดับ 1 : ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม 48.3% อันดับ 2 : พัฒนาระบบการศึกษา และส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน Upskill & Reskill & Newskill ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต 46.9% อันดับ 3 : ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมแบบมุ่งเป้าในภาคการผลิต 42.7%
อันดับ 4 : สนับสนุนการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความยั่งยืน 26.6%
8) คาดการณ์ GDP เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 จะขยายตัวในระดับใด
อันดับ 1 : ขยายตัวต่ำกว่า 2% 51.7%
อันดับ 2 : ขยายตัว 2 – 3% 39.9%
อันดับ 3 : ขยายตัว 3 – 4% 5.6%
อันดับ 4 : ขยายตัวมากกว่า 4% 2.8%