xs
xsm
sm
md
lg

“บีทีเอส”กางยอดหนี้เดินรถ”สีเขียว”เกือบ4 หมื่นล้าน “คีรี”พร้อมเจรจากทม.ย้ำสัญญาผูกจ้างตลอดสายถึงปี 85

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บีทีเอสกางยอดหนี้ กทม.ค้างค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง”รถไฟฟ้าสีเขียว”รวมเกือบ4 หมื่นล้านบาท หลังศาลตัดสินชนะคดีฟ้องครั้งที่ 1 เป็นแนวทางชัดเจน “คีรี”พร้อมเจรจา ยันศาลชี้ชัด สัญญาจ้างเดินรถ เป็นสัญญาทางปกครอง ไม่โมฆะ ผูกเส้นทางหลักส่วนไข่แดง หลังหมดสัมปทานปี 72 ต้องจ้างรวมตลอดสายไปถึงปี 85

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอส) เปิดเผยว่า กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ร่วมกันชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่ - บางหว้า และช่วงอ่อนนุช – แบริ่ง (หนี้ช่วงเดือนพฤษภาคม 2562 ถึงพฤษภาคม 2564) และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ – คูคต (หนี้ช่วงเดือนเมษายน 2560 ถึง พฤษภาคม 2564) จำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท นั้น นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่บีทีเอสได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง จนได้รับความเป็นธรรมจากศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 3 ปี ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า บริษัทฯ ทำงานอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ซึ่งได้พยายามชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และประชาชน รับทราบมาโดยตลอด

วันนี้ เป็นการยืนยันคำพูดของตนที่ว่า บีทีเอสทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง และได้ปรึกษาทีมกฎหมายอย่างครบถ้วน ถ้าสัญญาไม่พร้อมหรือไม่ถูกต้อง ตนย่อมไม่ลงนามอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เพราะบีทีเอสเป็นบริษัทมหาชน ดังนั้นตนต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นทุกคน รวมถึงกลุ่มผู้โดยสาร ที่ตนยืนยันเสมอมาว่าจะไม่หยุดเดินรถอย่างแน่นอน ที่สำคัญคำพิพากษาเกี่ยวกับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ จะเป็นแนวทางในการพิจารณาคดีในหนี้ส่วนที่เหลือต่อไป เพราะสัญญาไม่มีอะไรผิด การจัดซื้อจัดจ้างไม่ผิด

“ผมได้รับทราบข่าวจากสื่อว่า เบื้องต้นทางกทม. พร้อมที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้จำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท แต่ก็อยากให้กทม. และ KT คำนึงถึงยอดหนี้ในส่วนที่เหลือด้วยเนื่องจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งนับถึงปัจจุบัน ยอดหนี้รวมทั้งหมดเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ดังนั้น หากกทม.และ KT ยังไม่รีบดำเนินการ ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ที่ผ่านมาเราต้องกู้เงินมาจ่ายค่าพนักงาน ค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เราเป็นเอกชน คงไม่มีเอกชนไหนที่จะเป็นไฟแนนซ์ให้รัฐบาลได้เหมือนเราอีกแล้ว ภาระดอกเบี้ยปีละ 2,600 ล้านบาท หรือเฉลี่ย วันละ 7 ล้านบาท เกือบครึ่งหนึ่งรายได้ ซึ่งเทียบกับ MLR + 1 หรือ คิดเป็นประมาณ 8% ขณะที่โครงการนี้ มี IRR ประมาณ 9-12% เราได้ 8% ไม่ใช่เรื่องนี้ จริงๆ เพราะเราต้องการเงินไปลงทุนมากกว่า รอดอกเบี้ยหนี้ค้างชำระแบบนี้

อย่างไรก็ตาม บีทีเอส ยินดีและพร้อมที่จะเจรจากับกทม. และ KT ในการหาทางออกร่วมกัน หากข้อเสนอเหล่านั้นมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้บริการสาธารณะเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป ตามคำสั่งศาลภายใน 180 วัน ทั้งนี้ หนี้ที่ได้รับมาบริษัทจะนำไปลงทุนพัฒนาในธุรกิจของบริษัทต่อไป


@ หลังปี 72 ต้องจ้างบีทีเอสเดินรถเส้นทางหลักรวมต่อขยาย ถึงปี 85

นายคีรี กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลชี้ชัดว่า สัญญาจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยาย 1 และ2 ที่สิ้นสุดปี 2585 นั้นถูกต้อง ซึ่งสัญญานี้จะครอบคลุมไปถึงส่วนของการเดินรถเส้นทางหลัก ที่สัมปทานจะหมดในปี 2572 ว่า กทม.และ KT จะต้องจ้างบริษัท เดินรถและซ่อมบำรุงในส่วนเส้นทางหลักนี้ ไปจนถึงปี 2585 รวมไปด้วยเป็นตลอดสาย เส้นทางหลัก ส่วนต่อขยาย 1 และ ส่วนต่อขยาย 2 ระยะทางรวมทั้งสิ้น 60 กม. เพราะกทม.ต้องการให้ สายสีเขียวทั้งเส้นทางเป็นระบบเดียวกัน

ทั้งนี้ กรณีที่ กทม. จะศึกษา PPP หาเอกชนร่วมลงทุนในส่วนของเส้นทางหลัก หลังสัมปทานสิ้นสุดปี 2572 นั้นย่อมทำได้ แต่ตามเงื่อนไขนี้ ไม่ว่าใครจะเข้ามารับสัมปทานส่วนหลัก จะต้องจ้างบีทีเอสเดินรถและซ่อมบำรุงต่อไปอีก 13 ปี หรือจนถึงปี 2585 ซึ่งต้องรอดู ว่ากทม.จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งวันนี้ ทางกทม.ได้เริ่มจ้างที่ปรึกษามาคิดแล้วว่า หลังสัมปทานหมดปี 2572 จะทำอย่างไรต่อไป

ขณะที่สัมปทานเส้นทางหลัก เขียนไว้ว่า ก่อนสัญญาหมด 3-5 ปี บริษัทสามารถยื่นร้องขอกทม.ในการต่อสัมปทานได้ ส่วนจะยื่นหรือไม่ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนภายใต้ความเป็นจริง ภาวะเศรษฐกิจ และภาวะการเดินทางของผู้คนที่ไม่เหมือนเดิมไม่อยากออกจากบ้าน เหมือนเดิม แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าระบบราง ยังเป็นการเดินทางที่แก้ปัญหาจราจรดีที่สุด ซึ่งตอนนี้ตนมองว่าไปได้ทั้ง 2 ทาง คือ รับจ้างเดินรถทั้งสายไปถึงปี 2585 หรือ ยื่นสัมปทาน หลังปี 2572


ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอสกล่าวว่า สัญญาจ้างเดินรถ มี 2 ฉบับ คือ สัญญาเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยาย 1 ช่วงสะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่ - บางหว้า และช่วงอ่อนนุช – แบริ่ง และ สัญญาเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ – คูคต ซึ่งบีทีเอสไม่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่เดือนพ.ค. 2562 จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี จึงยื่นฟ้องศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2564 ยอดหนี้ประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็น ยื่นฟ้อง (ค่า O&M 1 )

สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 มีจำนวนกว่า 39,402 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้

1. การฟ้องครั้งที่ 1 ค่าจ้างช่วงเดือนพ.ค. 2562 - เดือนพ.ค. 2564 คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ให้กทม. และ KT ร่วมกันชำระให้กับบีทีเอสเป็นเงิน จำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท

2.ฟ้องครั้งที่ 2 ค่าจ้างช่วงเดือนมิถุนายน 2564 - เดือนตุลาคม 2565 ยอดหนี้ที่บีทีเอสได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ให้กทม. และ KT ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงให้กับบีทีเอสของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเงินจำนวนกว่า 11,811 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง

3.หนี้ค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยาย1 และ ส่วนต่อขยาย2 ที่ค้างชำระ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึง มิถุนายน 2567 เป็นเงินจำนวนกว่า 13,513 ล้านบาท เป็นส่วนที่ยังไม่ได้ฟ้อง

4.ค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในอนาคต ตั้งแต่ปัจจุบัน (เดือนมิ.ย. 2567 จนถึงสิ้นสุดสัมปทาน ปี พ.ศ. 2585 ที่หากกทม.และ KT ยังไม่จ่ายก็จะเป็นหนี้ในอนาคตต่อไป


@ยันศาลชี้ชัด สัญญาจ้างเดินรถ เป็นสัญญาทางปกครอง ไม่โมฆะ

ด้าน พ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บีทีเอสกล่าวว่า คำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่ ที่ประกอบด้วยตุลาการศาลปกครอง 50 คน ผลของการพิจารณาศาลสรุปได้ 9 ประเด็น เช่น เรื่องสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่1 และส่วนต่อขยายที่2 เป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วสัญญาไม่ได้เข้าร่วมตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ บีทีเอสได้รับสัมปทานเส้นทางหลักจึงเป็นผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับการให้บริการเดินรถ และเพื่อให้การเดินรถส่วนหลักและส่วนต่อขยายเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน จึงเข้าลักษณะการจัดจ้างวิธีพิเศษตามข้อบังคับกทม.ดังนั้นสัญญาจ้างเดินรถทั้ง2 ฉบับ ไม่เป็นโมฆะ และถือว่าเป็นสัญญาทางปกครอง ไม่ขัดต่อกฎหมาย

โดย กทม.และ KT ต้องจ่ายเงินให้บีทีเอสเท่าไหร่ สรุปว่า ต้องจ่ายเงินให้จำนวน11,755 ล้านบาท ดอกเบี้ย MLR +1 นับตั้งแต่วันฟ้องคดีจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนกรณี ปปช. กล่าวหาบีทีเอสทำผิดเรื่องสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย ศาลพิจารณาแล้วไม่มีผลต่อสัญญา เพราะยังไม่มีการชี้มูลคามผิด เป็นต้น




กำลังโหลดความคิดเห็น