"พีระพันธุ์" สยบข่าวลือ ยันตรึงค่าไฟที่หน่วยละ 4.18 บาทอีก 4 เดือน พยายามอุ้มดีเซลที่ลิตรละ 33 บาท ย้ำร่างกฎหมายปรับโครงสร้างพลังงานเสร็จแล้วรอทบทวน เสนอนายกฯ ลุยชงสภาต่อทันที
วันนี้ (19 ก.ค. 67) เวลา 14.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกรณีรัฐบาลจะขึ้นค่าไฟ ว่า เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาตนเดินทางไปประชุมกระทรวงพลังงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียจึงไม่ได้อยู่ชี้แจงข้อเท็จจริงอาจทำให้ข้อมูลสับสนแต่เป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่มีการปรับค่าไฟก็จะมีข่าวทางลบออกมาก่อนเสมอ ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.และรัฐบาลกระทรวงพลังงานที่จะต้องมีการหารือร่วมกันทุกครั้ง
สำหรับในครั้งนี้เมื่อตนเดินทางกลับมาแล้ว แม้ได้ให้แนวทางไว้แล้วแต่เนื่องจากที่ตนไม่อยู่จึงไม่ได้ประชุมหารือกัน ในวันนี้จึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท.มาหารือร่วมกันแล้วและได้ข้อยุติที่จะตรึงค่าไฟไว้ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยตามเดิมในงวดต่อไป (ก.ย.-ธ.ค. 67) ซึ่งต้องขอขอบคุณการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่สามารถบริหารจัดการภายในขององค์กรที่จะช่วยเหลือประชาชนซึ่งต้องให้เครดิตทั้งการไฟฟ้าฯและ ปตท.ที่ไม่รับเงินค่าตอบแทนใดๆ จากค่าไฟฟ้าในงวดนี้เลยเพื่อจะช่วยพี่น้องประชาชน
ดังนั้น ขอประชาชนเข้าใจในเรื่องค่าไฟและค่าน้ำมันต่างๆ ไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานกระทรวงเดียว แต่ก็พยายามประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กฟผ.ที่จะต้องนำเงินส่งคลังตามหลักเกณฑ์แต่เมื่อให้ลดราคาค่าไฟตรึงไว้ที่ราคาเดิม แปลว่ารายได้ก็ต่ำลง แต่ยังต้องส่งเงินเข้าคลังตามเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขด้วย ไม่ใช่แค่ให้ กฟผ.ช่วยรับภาระหน่วยงานเดียวแต่ส่วนอื่นไม่มาช่วยเลย ตนจึงคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุง
ส่วนราคาน้ำมัน กระทรวงพลังงานก็พยายามตรึงไว้ที่ราคาเดิม แต่ที่เคยพูดไว้ว่ากองทุนพลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นกลไกหลักมานานมากสำหรับการดูแลเรื่องราคาน้ำมันให้พี่น้องประชาชนซึ่งนับวันก็เป็นภาระหนี้สินมากขึ้นและโดยเฉพาะตามหลักเกณฑ์ที่ออกมาใหม่ทำให้อำนาจของกองทุนน้ำมันหายไปส่วนหนึ่ง คืออำนาจการกำหนดเพดานภาษี โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พี่น้องประชาชนจ่ายหน้าปั๊มน้ำมันประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นราคาเนื้อน้ำมันแท้ๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของภาครัฐ คือภาษี เพราะฉะนั้นการจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ไม่ใช่แค่เนื้อน้ำมันแต่ต้องปรับลดภาษีด้วย แต่เดิมอำนาจการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิตตัวนี้เป็นอำนาจของกองทุนน้ำมันแต่ปัจจุบันถูกตัดออกเลยเป็นภาระที่จะนำเงินจากกองทุนไปใช้อย่างเดียว ดังนั้นกฎหมายตัวนี้จึงต้องปรับปรุงและเป็นสิ่งที่ตนดำเนินการอยู่
"เพราะฉะนั้นในส่วนนี้สิ่งที่กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการและพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลกลุ่มนี้ไว้ให้ได้ที่ประมาณ 33 บาทต่อลิตรก็จะต้องให้หน่วยงานอื่นช่วยกันเช่นเดิม แต่ก็อยู่ที่ความร่วมมือของส่วนราชการอื่นด้วยแต่ในส่วนของกระทรวงพลังงานจะทำเต็มที่"
นายพีระพันธ์ุย้ำว่า ข่าวลือก็เกิดออกมาทุกครั้งจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ก็พยายามทำให้ประชาชนตกใจหรือเข้าใจผิดไว้ก่อนที่ว่าจะขึ้นค่าไฟ 4.58 บาทต่อหน่วยซึ่งก็ไม่ใช่ความจริง
ส่วนจะตรึงไว้ได้นานแค่ไหน แนวโน้มจะขึ้นเมื่อไหร่นั้น นายพีระพันธ์ุกล่าวว่า ราคาไฟฟ้าจะมีการปรับทุก 4 เดือนตามค่า FT มาจากการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายก๊าซฯ เฉลี่ย 4 เดือนครั้งมีการปรับขึ้นปรับลง ในส่วนของหนี้สินกองทุนน้ำมันไม่ใช่เป็นภาระความรับผิดชอบแค่กระทรวงพลังงานเท่านั้นแต่รัฐบาลทั้งหมดก็ต้องคิดว่าจะช่วยกันอย่างไร
เนื่องจากมีคนถามตนเองมาตลอดว่าทำไมราคาน้ำมันดีเซลมาเลเซียถูกกว่าเมืองไทยตั้งเยอะนั้น เป็นเพราะว่ารัฐบาลของมาเลเซียเอาเงินงบประมาณมาช่วยดูแลเหมือนกองทุนน้ำมันต่อปีเกือบ 4 แสนล้านบาทของเรามีหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายวันนี้การใช้เงินมาพยุงราคาแบบนี้ก็ไปได้ไม่นานปัจจุบันมาเลเซียก็ไปไม่ไหวแล้ว และมีการยกเลิกทำให้ราคาก็ขึ้นมาพรวดเดียวกว่า 10 บาท ตอนนี้ราคาต่อลิตรก็เกือบ 30 บาทแล้วเช่นกันไม่ต่างกับของเรา และมาเลเซียมีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แต่ของเราไม่มีเขาจึงมีรายได้จากน้ำมันเป็นของตัวเองมากกว่าไทยจึงมีเงินพอที่จะมาช่วยเหลือประชาชนของเขา ขณะเดียวกันวันนี้ก็ไปไม่ไหวแล้วจึงบอกว่าการใช้เงินมาช่วยดูแลในที่สุดมันไปไม่ได้ต้องมาคิดรูปแบบใหม่
ส่วนกฎหมายที่ร่างอยู่เพื่อจะ "รื้อลดปลดสร้างระบบราคาพลังงาน" ของไทยนั้น นายพีระพันธ์ุยืนยันว่าตนร่างกฎหมายดังกล่าวเสร็จแล้วกำลังทบทวนความถูกต้องอยู่และจะให้คณะทำงานดูอีก 1 รอบใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และนำเข้าหารือต่อนายกรัฐมนตรีเพราะอยู่ในชั้นระดับกระทรวง ก่อนเสนอเข้าสภาฯ ต่อไป