ผู้จัดการรายวัน 360 - เซ็นทรัล รีเทล ปิดไตรมาส 1 กวาดรายได้ 67,255 ล้านบาท โต 6% โกยกำไร 2,524 ล้านบาท โต 14% พร้อมเร่งเครื่องขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนช่องทางออมนิแชนเนลโตถึง 19%
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล เปิดปีโตต่อเนื่อง ด้วยผลประกอบการในไตรมาสแรกมีรายได้อยู่ที่ 67,255 ล้านบาท (+6% YoY) และกำไรสุทธิหลัก (Core Profit) 2,524 ล้านบาท (+14% YoY) ในส่วนของยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชนเนลมีสัดส่วนอยู่ที่ 19% ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากการมีอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่งและพอร์ตโฟลิโอที่มีความยืดหยุ่นของเซ็นทรัล รีเทล”
สำหรับไฮไลต์ธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล รีเทล มีดังนี้
1. กลุ่มแฟชั่น
• ห้างเซ็นทรัล ชิดลม “The Store of Bangkok” ได้พลิกโฉมใหม่ ด้วยงบลงทุนกว่า 4 พันล้านบาท เพื่อยกระดับสู่การเป็น World Class Luxury Destination ในรูปแบบ One-Stop-Shopping ที่รวบรวมแบรนด์สินค้าลักชัวรีที่ครองใจลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก เช่น Bottega Veneta, Burberry, Celine, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Missoni, Roger Vivier และ Versace โดยจัดงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Luxe Night Out” เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ต้อนรับเหล่าคนดังในวงการแฟชั่นทั่วประเทศที่เดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง โดยมีไฮไลต์สำคัญอย่าง “Shoes Avenue” ที่รวบรวมแบรนด์รองเท้าชั้นนำไว้ในที่เดียวเป็นครั้งแรกของไทย เช่น Christian Louboutin, Gucci, Jimmy Choo, Mach & Mach, Rene Caovilla, Sergio Rossi, The Attico, TOD’S, Tom Ford และ Tory Burch
• CMG (เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป) หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่ม Central Brand & Specialty ได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่าย Paul Smith แบรนด์แฟชั่นลักชัวรีระดับไอคอนิกจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเตรียมเปิด Flagship Store แห่งใหม่ที่ศูนย์การค้า Central Embassy โดยภายในงานเปิดตัวยังได้รับเกียรติจาก Sir Paul Smith ผู้ก่อตั้งแบรนด์มาร่วมงานอีกด้วย นอกจากนี้ CMG ยังได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่าย Jung Saem Mool (จองแซมมุล) แบรนด์จากเมกอัพอาร์ติสท์ชื่อดังของประเทศเกาหลี พร้อมเดินหน้านำแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับความนิยมเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง
2. กลุ่ม B2B / B2C
• GO Wholesale หลังจากเปิดตัวมา 7 เดือน ได้ลุยเปิดไปแล้วทั้งสิ้น 7 สาขา โดยโชว์ความโดดเด่นในด้านการเป็น King of Fresh ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยจุดแข็งของ GO Wholesale ที่เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าทั้งด้านสินค้าที่สดใหม่ บริการพิเศษ และความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย พร้อมเร่งเครื่องเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในครึ่งปีหลัง ทำให้เตรียมปิดปีด้วยจำนวน 11 สาขาทั่วไทย
• ไทวัสดุ ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ทางด้าน Omnichannel DIY Home Retailer ของประเทศไทย พร้อมปูพรมสู่ 100 สาขาทั่วไทย โดยในปีนี้เตรียมเร่งเครื่องขยายไทวัสดุอีก 9 สาขา และปรับโฉมใหม่ Flagship Store สาขาบางนาและสาขาบางบัวทอง ด้วยการอัปเกรดขึ้นมาเป็นรูปแบบไฮบริดสโตร์ ที่รวมจุดแข็งของทั้งไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮม เข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว เพื่อตอบโจทย์เรื่องงานช่างและเรื่องบ้านอย่างครบวงจร นอกจากนี้ สินค้า Private Label ของไทวัสดุยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีสัดส่วนเป็น 18% ของสินค้าทั้งหมดที่จำหน่ายในไทวัสดุ
3. ประเทศเวียดนาม
• ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องของศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เกต โดยเตรียมเดินหน้าขยายสาขาทั้งศูนย์การค้า GO! และ ไฮเปอร์มาร์เกต GO! อีก 3 สาขาในปีนี้ พร้อมทั้งเตรียมรีโนเวตสาขา Flagship Store ที่ฮานอยและโฮจิมินห์ ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาเซ็นทรัล รีเทล ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการรีโนเวตศูนย์การค้า GO! 8 สาขา ทำให้มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 12%
• นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังได้เข้าไปขยายธุรกิจในกลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็น Brand Distributor ให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น Dyson, Crocs และ FitFlop เพื่อตอบสนองกลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่มคนมีกำลังซื้อสูง คนรุ่นใหม่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม
“ความสำเร็จทั้งหมดนี้มาจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัล รีเทล ที่ได้วางไว้บนคอนเซ็ปต์ Leading Excellence and Advancing Sustainability คือ การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ที่มีผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม (Leading Excellence) ในทุกกลุ่มธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมทั้งมีการต่อยอดเรื่องการสร้างความยั่งยืนให้เข้มข้นไปอีกขั้น (Advancing Sustainability) ทั้งนี้ เราจะยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในเครืออย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มของเราทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี” นายญนน์กล่าว