ผู้จัดการรายวัน 360 – หาดทิพย์ ผู้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) พร้อมลงทุนเพิ่ม 800 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจประเภทขวดแก้ว ลงทุน500 ล้านขยายคลัง จากปรกติงบลงทุนเดิม 200 ล้านบาท มุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 15,000 ล้านบาทในปี 2575
พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC ผู้รับลิขสิทธิ์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเครือโคคา-โคล่าในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ จากเดอะ โคคา-โคล่า คัมปะนี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) กล่าวว่า ในระยะยาวนั้น บริษัทฯ มุ่งมั่นในการยืนหยัดเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ โดยตั้งเป้าหมายมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 11000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาดรวมภาคใต้ 30% ภายในปี 2570 (ค.ศ. 2027)
ส่วนในระยะยาว ภายในปี 2575 (ค.ศ. 2032) มีเป้าหมาที่จะต้องสร้างรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท และมีมูลค่าส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 35%
ทั้งนี้มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เพิ่มสินค้าใหม่ๆในเครือของโคคาโคลา ซึ่งมีมากกว่า 500 แบรนด์ แต่ที่บริษัทนำเข้ามาทำตลาดเพียง 12 แบรนด์เท่านั้น ยังมีโอกาสอีกมาก เช่นมองไปที่กลุ่มมีแอลกอฮอล์เช่น เครื่องดื่มแจ๊คโค้ก ที่มีจำหน่ายแล้่วในญี่ปุ่น มาเลเชีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น รวมทั้งการขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ว่ามีศักยภาพ เช่น การนำที่ดินที่มีอยู่มาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการทำหมู่บ้านจัดสรรขาย เป็นต้น
สำหรับแผนธุรกิจปี2567 นี้จะลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งก็ว่าได้ จากปรกติที่ลงทุนเฉลี่ย200 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรวมและยอดขายของบริษัทในภาคใต้
โดยปีนี้ยังมีการลงทุนรวมอีกประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสายการผลิตของผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ชนิดขวดแก้ว ที่โรงงานพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำลังผลิตประมาณ 800 ขวดแแก้วต่อนาที โดยคาดว่าจะเปิดสายการผลิตได้ก่อนไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของยอดขายในช่องทางโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร
รวมทั้งลงทุนอีก 500 ล้านบาท เพื่อขยายคลังสินค้าอีก ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่เพิ่มมาประมาณ 10,000 ตารางเมตร จากเดิมมีประมาณ 30,000 ตารางเมตรที่สุราษฎร์ธานี
“เรามองว่าผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วชนิดคืนขวดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในช่องทางโรงแรม ร้านอาหาร และภัตตาคาร ซึ่งมีความเหมาะสมกับบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้ เนื่องจากผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มของเราภายในร้าน (on-premise consumption) และเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เรามีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ การมีธุรกิจขวดแก้วที่แข็งแกร่งจะทำให้เราสามารถบริหารต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเราอีกด้วย” พลตรี พัชรฯ กล่าว
ส่วนปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายรวมที่ 7,806 ล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 5 ปี หรือสูงกว่าช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทฯ ประเมินว่ายอดขายที่เติบโตขึ้นเป็นอานิสงส์มาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่มีการฟื้นตัวเร็วกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการปรับราคาขายในบางขนาดในช่วงสิงหาคม 2565 และเมษายน 2566 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 6% และ 1.5% ตามลำดับ
“จากข้อมูลของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึงกว่า 28 ล้านคน หรือเติบโตจากปี 2565 ถึง 154% โดยถ้าดูจากสถิติการเข้าพักในโรงแรมและที่พักต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว จะพบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ภาคใต้สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ บริษัทฯ จึงใช้กลยุทธ์สร้างการเติบโตของรายได้ ผ่านการกำหนดขนาด รูปแบบผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่ายที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่องทางธุรกิจ โรงแรม ร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้อที่มีการเติบโตของยอดขายสูงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็มีการปรับราคาขายขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตควบคู่กันไป ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตสูงถึง 38.8%” พลตรี พัชรฯ กล่าว
สำหรับในปี 2567 พลตรี พัชรฯ มั่นใจว่าหาดทิพย์จะยังคงมียอดขายที่เติบโตขึ้นในอัตรา 6-8% เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ภาคใต้ยังคงมีแนวโน้มที่สดใส และจากแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่โดนใจผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล ที่ในปี 2566 มียอดขายเติบโตถึง31% และยังสามารถเติบโตขึ้นได้อีกมาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่มีน้ำตาลยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของยอดขายทั้งหมดเท่านั้น