CKP เผยรายได้ปี 66 แตะ 1.09 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,462 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 40% เดินหน้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ขานรับการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทางพลังงาน คาดปี 67 ผลการดำเนินงานโตต่อเนื่องจากปัจจัยฤดูกาล วางเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ตอกย้ำแผนงาน CKP NET ZERO EMISSIONS 2050
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 10,941 ล้านบาท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์เอลนีโญ แต่ปริมาณน้ำมีการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาสที่ 3/2566 โดยบริษัทได้ปรับแผนการผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 สูงถึง 367 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งเป็นระดับน้ำคงเหลือในอ่างเก็บน้ำที่สูงที่สุดในรอบ 3 ปี และจะส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นฤดูแล้ง
นอกจากนี้ บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลงจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงตามปริมาณน้ำ และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก ประกอบกับ บริษัท ไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำกัด (NN2) มีรายได้จากการขายไฟฟ้าลดลงและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากงานซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผนซ่อมบำรุง ในขณะที่ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยในปี 2566 ที่ปรับลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25.4 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 จากปี 2565 และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 1,462 ล้านบาท ลดลง 40% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,436 ล้านบาท
นายธนวัฒน์กล่าวว่า แม้ว่าตลอดปีที่ผ่านมา CKP จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤตการณ์สำคัญต่างๆ ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของบริษัทผ่านสภาวะความไม่แน่นอนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลการดำเนินงานที่เป็นกำไรสุทธิ มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่โรงไฟฟ้าทำไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกทั้งยังคงสถานะทางการเงินที่มั่นคงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.53 เท่า สะท้อนแนวทางการบริหารงานของบริษัทที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ XPCL ยังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Debentures) เพิ่มเติมในปี 2566 อีก 3,500 ล้านบาท โดยนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและลดต้นทุนทางการเงินของ XPCL ท่ามกลางแนวโน้มภาวะดอกเบี้ยโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2566
“สำหรับก้าวต่อไป CKP ได้วางเป้าหมายการเติบโตในด้านการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและรากฐานความมั่นคงทางพลังงาน ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเครือของกลุ่มบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดส่งให้ประเทศไทยได้กว่า 8.5 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) หรือคิดเป็นกว่า 17% ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใช้ในประเทศในปี 2566 และสามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี พ.ศ. 2593 และการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทางพลังงานของประเทศไทย” นายธนวัฒน์กล่าว