กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.คาดการณ์ปี 2567 อัตราการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 30-50% ซึ่งถือว่าสูงต่อเนื่อง เหตุมีรถยนต์ถูกยึดเพราะผู้ซื้อผ่อนไม่ไหวโดยเฉพาะกลุ่มรถกระบะ โดยทิศทางตั้งแต่ปลายปีจนถึงขณะนี้รถยังคงถูกยึดเพิ่มต่อเนื่อง แต่หากเทียบกับบ้านที่ถูกยึดยังต่ำกว่ามาก แนะรัฐแก้หนี้เสียเป็นเรื่องดีแต่ควรเพิ่มกำลังซื้อควบคู่ไปด้วย ขณะที่สมาคมฯ EV มองการยึดรถ EV มีบ้างเล็กน้อยแต่ยังไม่ใช่กลุ่มหลักเพราะกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คาดการณ์ว่าในปี 2567 อัตราการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ (the auto loan rejection rate) ของไทยจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อนคือที่ 30-50% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน เพราะสถาบันการเงินและไฟแนนซ์ที่ปล่อยเงินสินเชื่อเพื่อรถยนต์ยังมีความกังวลเรื่องหนี้เสีย (NPL) จึงเพิ่มความระมัดวะวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยสำคัญคือการที่มีรถยนต์จำนวนมากถูกยึดเพราะผู้ซื้อไม่สามารถผ่อนชำระงวดได้จากสภาพคล่องทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย หนี้ครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง
“ค่าครองชีพของคนไทยยังสูง และมีภาระหนี้ครัวเรือนที่มาก ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์หากไม่ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อก็จะทำให้จำนวนรถในปีนี้ถูกยึดเพิ่มขึ้นอีก และถ้าดูจากจำนวนรถที่เข้าสู่การประมูลเพิ่มถึง 200,000-300,000 คัน เมื่อปลายปีที่แล้วยังคงเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ จากปกติสถานการณ์การยึดรถเข้าสู่การประมูลเฉลี่ยที่ประมาณ 180,000 คันต่อปี สะท้อนให้เห็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มสูงขึ้น รถถูกยึดสูงขึ้น เนื่องจากลูกหนี้กำลังผ่อนไม่ไหวจริงๆ” นายสุรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การถูกยึดรถยนต์จะเป็นรถประเภทสันดาปภายใน (ICE) โดยเฉพาะกลุ่มกระบะ ที่เป็นรถทำมาหากินทั้งค้าขาย ส่งสินค้าภาคเกษตรต่างๆ ซึ่งมักจะถูกจัดเข้ากลุ่มที่สร้างปัญหาหนี้เสียมากสุดจากในช่วงที่ผ่านมาที่ขาดการผ่อนส่งมีมากทำให้สถาบันจึงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก อย่างไรก็ตามเมื่อดูสัดส่วนการปฏิเสธสินเชื่อเมื่อเทียบกับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถือว่ายังน้อยกว่าเพราะกลุ่มนี้คนกู้ซื้อบ้านไม่ผ่านมีมากกว่า 50% แล้วในปัจจุบัน โดยหากพิจารณาดูจากหนี้ของรถยนต์พบว่าหนี้ NPL รถยนต์อยู่ที่ 12% แต่หนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่กว่า 20%
FTI ระบุว่า สถานการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการไฟแนนซ์รถยนต์ เพราะเป็นปีที่ขาดทุนหนักที่สุด เนื่องจากจำนวนรถยนต์ที่ยึดเพิ่มสูงขึ้น จากที่ติดตามข่าวกลุ่มนี้ขาดทุนรวมกันในอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000-2,000 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มสถาบันการเงินพวกนี้ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่โดยการเพิ่มเงินดาวน์รถยนต์ที่สูงขึ้นป้องกันการชำระหนี้ผิดนัด ทำให้คนซื้อรถผ่อนค่างวดได้ถูกลง เพราะถ้าค้างเงินงวด 3 เดือนถือว่าเป็น NPL แล้ว
“แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการการแก้ปัญหาหนี้เสียก็เป็นแนวทางที่ดีเพราะช่วยคนเป็นหนี้ และทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้คนเป็นหนี้ยืดเวลาชำระหนี้ออกไปได้อีกสักระยะ แต่ก็อยากเห็นรัฐบาลมีแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อควบคู่ไปด้วยจึงจะยั่งยืนกว่า” นายสุรพงษ์กล่าว
นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย หรือ EVAT กล่าวว่า กลุ่มรถยนต์นั่ง หรือ passenger car segment ไม่ใช่กลุ่มหลักของการยึดรถยนต์ แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มรถกระบะ ทำให้กลุ่มสถาบันการเงินเพื่อสินเชื่อรถยนต์เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพิ่มเงินดาวน์รถยนต์มากขึ้น ทางหนึ่งเป็นการคัดกรองกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อรถยนต์จริงๆ ในส่วนของกลุ่มรถไฟฟ้า ยังมองว่ายังไม่ใช่กลุ่มหลักที่ถูกยึดรถ เพราะกลุ่มนี้ถือว่ามีกำลังซื้อรถเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ก็เห็นมีบ้างที่เป็น EV แล้วถูกไฟแนนซ์ยึดรถไป อย่างไรก็ตาม มองว่ารถ EV ในปีนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราการเติบโตปี 2023 เทียบปี 2022 ที่ EV โตมากกว่า 600% ในไทย จากยอดจดทะเบียนประมาณ 76,000 คัน โดยคาดว่าปี 2567 นี้จะเห็นมากกว่า 100,000 คัน