PTTGCคาดปีนี้มีผลดำเนินงานดีขึ้นมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น7% เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุง ขณะที่แนวโน้มราคาเม็ดพลาสติกมีสัญญาณบวก หวั่นโรงกลั่นมาร์จินลดลงจากปี66 พร้อมอัดงบลงทุน100-150ล้านเหรียญลุยโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ แตะเบรกM&A ชี้เศรษฐกิจโบกผันผวน
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ในปี2567บริษัทมีปริมาณการผลิตเติบโตขึ้นประมาณ 7%เทียบจากปีก่อน เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน ส่งผลให้บริษัทมีนอเขายเติบโตขึ้นจากปี2566มีรายได้จากการขาย 616,635 ล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีนี้มีสัญญาณราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นกว่าปีก่อนในบางผลิตภัณฑ์ เข่น PE ส่วนผลิตภัณฑ์PP คาดว่าจะใช้เวลา2ปีจะเข้าจุดสมดุล จากปัจจุบันพบว่ามีกำลังการผลิตล้นตลาดอันเนื่องจากมีโรงงานใหม่เกิดขึ้น ส่วนปริมาณขายของธุรกิจallnex ดีขึ้น 10% ทำให้มีกำไรดีขึ้น ส่วนธุรกิจโรงกลั่น คาดว่าค่าการกลั่นปรับตัวลดลงจากปีก่อน ดังนั้น ภาพรวมธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น
สำหรับงบลงทุนในปี 2567 ตั้งไว้ที่ 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้รองรับการลงทุนโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่าย PVC และเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ allnex ส่วนการลงทุนควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A)ต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโบกยังมีความผันผวนสูง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมุ่งเน้นลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสิทธิภาพการดำเนินงาน
สำหรับทิศทางการดำเนินงาน ปี 67 ยังคงมีความท้าทาย จึงกำหนดทิศทางและทบทวนกลยุทธ์ 3 Steps Plus ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และปรับให้สอดคล้องกับ Industry Landscape ที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบด้วย Step Change: สร้างรากฐานแข็งแกร่ง ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพ การควบคุมค่าใช้จ่าย และ การพัฒนาความร่วมมือในมิติต่างๆ รวมถึงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจที่เน้นตลาด เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์มูลค่าสูง มีเป้าหมาย 56% ในปี 2571
Step Out: แสวงหาโอกาสใหม่เพื่อสร้างการเติบโต และดูแลด้านต้นทุนของ allnex พร้อมขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพเเละผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Bio & Circularity) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล เพื่อนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องต่างๆ ทั้งในอุตสาหกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคล อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ เป็นต้น
Step Up: สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยดำเนินงานด้าน Decarbonization ให้เป็นไปตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 รวมถึงมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง
นายคงกระพัน กล่าวว่า บริษัทยังวางแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และ Non-Core Business นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจใหม่เกี่ยวกับไฮโดรเจนและคาร์บอน โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญที่บริษัทมีในธุรกิจไฮโดรคาร์บอน สร้างความแตกต่างและผลตอบแทนทางธุรกิจในอนาคต เช่นศึกษาเทคโนโลยีการพัฒนาโรงงานปิโตรเคมีกับกับ บริษัท มิตซูบิชิ ฮีวี่ อินดัสทรี เอเชียแปซิฟิก จำกัด หรือ MHI-AP ในการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เป็นเชื้อเพลิงสำหรับกังหันแก๊ส (Gas Turbine) และเทคโนโลยีการดักจับ จัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และศึกษาหาแนวทางการปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพในระบบดักจับ จัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหมาะสมสำหรับกระบวนการผลิตไฮโดรเจน หรือ Steam Methane Reforming (SMR)
สำหรับผลการดำเนินงาน ปี 2566 บริษัทพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิ 999 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 616,635 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีภาพรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ได้รับความกดดันจากปัจจัยทั้งด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอย กดดันอุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน
ทั้งนี้ บริษัทได้สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ผ่านการดำเนินงาน ดังนี้คือ การพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินงานโครงการ MAX, dEX, MTPi, FiT และการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มเติมจากที่ควบคุมในแผนงบประมาณ (OPEX Saving) ซึ่งช่วยเพิ่มผลกำไร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,900 ล้านบาท พร้อมทั้งขายหุ้น50%ในบริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชั่นส์ จำกัด (GCL) ให้บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,640 ล้านบาท โดยมีกำไรพิเศษที่เกี่ยวข้องจากรายการนี้ (รวมกำไรจากการตีมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนที่เหลือใน GCL) เป็นจำนวน 4,017 ล้านบาท หวังสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ และลดภาระหนี้สินทางการเงิน ด้วยการซื้อหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐ โดยมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ดังกล่าวจำนวน 1,422 ล้านบาท