“เศรษฐา” นายกฯ พร้อมเดินหน้าเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (OCA) หวังนำแหล่งปิโตรเลียมใต้ดินมูลค่า 20 ล้านล้านบาทมาใช้ประโยชน์ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน เชื่อส่งผลดีต่อราคาพลังงานไทยในอนาคต ด้าน ปตท.หวั่นเจอปัญหาการเมือง ถูกกล่าวหาขายชาติ
วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ ) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนาด้านพลังงานประจำปีระดับประเทศ "THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM" หัวข้อเรื่องจุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน จัดโดยสถาบันวิทยาการพลังงาน ร่วมกับสมาคมวิทยาการพลังงาน (สวพน.) ว่า
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพลังงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเกี่ยงโยงกับทุกภาคส่วน จากการเดินทางไปต่างประเทศในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาเพื่อชักชวนนักธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อพลังงานสีเขียว ซึ่งจะเป็น key factor ที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปข้างหน้า
ทั้งนี้ ราคาพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องสามารถแข่งขันราคากับประเทศเพื่อนบ้านให้ได้ ซึ่งไทยมีพลังงานสีเขียวมากกว่า ทำให้ดึงดูดการลงทุนในธุรกิจที่ต้องการใช้พลังงานสีเขียว แต่ยอมรับว่าค่าไฟฟ้าในไทยยังเป็นปัญหาอยู่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากมองระยะยาว ประเทศไทยมีศักยภาพสูงดึงดูดนักลงทุน เนื่องจากไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ไม่ใช่มีแค่พลังงานสะอาดเท่านั้น
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเดินทางมาเยือนประเทศไทย ได้มีการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (overlapping claims areas - OCA) ที่มีมูลค่ามหาศาล บางคนพูดว่ามีมูลค่าถึง 20 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีปัญหาเรื่องของชายแดน เขตแดนอยู่ ดังนั้นการนำขุมทรัพย์พลังงานที่อยู่ใต้ทะเล (แหล่งปิโตรเลียม) ออกมาใช้ร่วมกันต้องมีการเจรจา ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดในการเจรจาเพื่อนำสินทรัพย์มาใช้ประโยชน์ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน
“การผลักดันการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น อยากให้ทุกฝ่ายสบายใจว่า รัฐบาลจะเดินหน้าต่อไป โดยจะพยายามแยกระหว่างเรื่องพื้นที่ทับซ้อน เขตแดน กับเรื่องแบ่งผลประโยชน์ ซึ่งจะต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งทั้งหมดนั้นจะส่งผลต่อราคาพลังงานของประเทศไทยในอนาคต”
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วยแม้ว่าจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และอินโดนีเซียเฉลี่ยที่ 2.67 และ 2.52 บาท/หน่วย แต่ไทยไม่มีปัญหาไฟฟ้าดับเหมือนกับประเทศเวียดนามในบางพื้นที่นานหลายวัน หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษก็เกิดไฟฟ้าดับนานเป็นสัปดาห์ ขณะเดียวกันเวียดนามและอินโดนีเซียมีการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ขณะที่ไทยสัดส่วนการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าค่อนข้างน้อยและต้องนำเข้าพลังงานมาผลิตไฟฟ้า จึงทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูง
ดังนั้น ราคาพลังงานต้องเหมาะสม ไม่ใช่ถูก เพราะหากถูกเกินไปก็มีการใช้ฟุ่มเฟือยไม่ประหยัด ทำอย่างไรการบาลานซ์เรื่องนี้ต้องคำนึงเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ได้ สุดท้ายราคาพลังงานจะต่ำลง
ส่วนการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา หรือ OCA ภาครัฐเป็นหัวหอกในการเจรจา ซึ่งมีรูปแบยให้เห็นจากโครงการ JDA ไทย-มาเลเซีย ที่ไม่มีการแบ่งเขตแดน แต่นำแหล่งพลังงานใต้ดินขึ้นมาใช้แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งส่งผลดีต่อประเทศ ขณะเดียวกันไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทั้งท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลที่พร้อมอยู่แล้ว หากกัมพูชามีการนำพลังงานมาใช้ภายในประเทศก็ลงทุนต่อท่อก๊าซฯ ไปได้ ทุกเรื่องมีทางออก ส่วนประเด็นทางการเมือง เชื่อว่าทางกัมพูชาไม่มีปัญหา แต่ไทยมีปัญหา มีการพูดกันว่าขายชาติ
ด้านนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) หากรัฐบาลชุดนี้ทำไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลอื่นก็ทำไม่สำเร็จแล้ว