IRPC คาดปี 2567 รายได้ใกล้เคียงปีนี้ราว 3 แสนล้านบาท แม้ว่าใช้กำลังกลั่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 204,000 บาร์เรล/วัน ดีกว่าปีนี้ที่เฉลี่ย 194,000 บาร์เรล/วัน แต่แนวโน้มราคาน้ำมันปรับลดลงต่อ ขณะที่ปิโตรเคมีฉายแววดีขึ้น จับตาประกาศการลงทุนขนาดใหญ่ในไตรมาส 3/67
นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บัญชีและการเงิน บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC) เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีนี้ที่มีรายได้ราว 300,000 ล้านบาท โดยมีกำลังการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 204,000 บาร์เรล/วัน จากปี 2566 มีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 194,000 บาร์เรล/วัน แต่ปีหน้าราคาขายและสเปรดน้ำมันสำเร็จรูปอาจปรับตัวลดลงจากปีนี้ ขณะที่ปิโตรเคมีมีมาร์จิ้นปรับตัวดีขึ้นทั้ง ABS HDPE และ PP ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าคาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 75-78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2566 คาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 3/2566 ที่มีรายได้จากการขาย 77,264 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,439 ล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนพบว่าในไตรมาส 4 ปีนี้จะมีผลดำเนินงานดีขึ้นแน่นอน
นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปีหน้าคาดว่าจะต่ำกว่าปีนี้ คาดการณ์ว่า GDP ไทยโตแค่ 2.8% ทำให้บริษัทมีแผนปรับลดค่าใช้จ่ายลงโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Cost) โดยจะมีโครงการสมัครใจลาออกหรือเกษียณอายุก่อนกำหนดอีกครั้ง
ส่วนงบลงทุนบริษัทในปี 2567 นายกฤษณ์กล่าวว่า ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ บริษัทเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติเม็ดเงินลงทุนปี 2567 รวมทั้งแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2567-2571) ซึ่งจะเห็นความชัดเจนแผนลงทุนของบริษัทภายในเดือน ธ.ค.นี้ ขณะเดียวกัน คาดว่าภายในไตรมาส 3/2567 จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป
ในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นจากการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยสถานการณ์และปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่ท้าทายและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง โดยเพิ่มประสิทธิภาพเสริมขีดความสามารถในการผลิตและการแข่งขัน ที่ยึดหลักสร้างความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจหลักปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ ขยายการลงทุนไปในกลุ่มธุรกิจใหม่ ด้วยมาตรการควบคุมภายในและสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง
สำหรับการสร้างความแข็งแกร่งต่อยอดจากธุรกิจหลัก (Core Uplift) ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเลียม (Domestic first) ด้วยการขยายระบบโลจิสติกส์ขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยขยายคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยระบบขนส่งน้ำมันทางท่อความยาว 99 กิโลเมตร ร่วมกับ บริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิง ทางท่อและโลจิสติกส์ จำกัด หรือ BFPL เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานภาคขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือ ช่วยให้การดำเนินงาน และการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการขนส่ง รวมทั้งโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและคุณภาพน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (UCF) มีความพร้อมผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 หรือน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันต่ำ สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ภายในวันที่ 25 ธ.ค.นี้ ก่อนที่ภาครัฐประกาศบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2567
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมี (Specialty Boost) ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ “POLIMAXX” ได้แก่ 1. เม็ดพลาสติก พีพี เมลต์โบลน (PP Melt Blown) สำหรับผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่มีคุณภาพ เช่น หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ ชุด PPE ผ้าอ้อมเด็ก และผู้ใหญ่ รวมถึงแผ่นกรองต่างๆ 2. เม็ดพลาสติก พีพีอาร์ (PPR: PP random copolymer pipe) มีคุณสมบัติที่แข็งแรงทนต่อแรงขีดข่วนและแรงดัน ทนต่อสารเคมีได้มากกว่าท่อน้ำประปาทั่วไป เหมาะสำหรับผลิตท่อน้ำร้อนน้ำเย็นในครัวเรือนและในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3. เม็ดพลาสติก HDPE 100-RC สำหรับผลิตท่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีคุณสมบัติทนแรงกระแทกได้ดีมาก มีอายุการใช้งานนานกว่า 100 ปี ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาก่อสร้าง
นอกจากนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Health & Wellness) ร่วมกับโรงพยาบาลบางปะกอกและโรงพยาบาลปิยะเวท ศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ ในพื้นที่ศักยภาพของบริษัทฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งบริษัทฯ รุกโครงการโซลาร์ลอยน้ำหรือ Floating Solar เพิ่มขึ้นอีกจากปัจจุบัน 21 เมกะวัตต์