สศอ. ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI) และGDPภาคอุตสาหกรรมปี2567จะโต 2-3% จากปี 2566 ที่ล่าสุดปรับประมาณการMPI ติดลบ 4.8% และGDPอุตสาหกรรมติดลบ 3% หลัง 10 เดือนแรกปีนี้ติดลบ 5.04%
นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า สศอ.ได้ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI ) และผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP)ภาคอุตสาหกรรม ปี 2567 จะขยายตัว 2.0 – 3.0 % จากปี 2566 ที่ล่าสุดได้ปรับประมาณการ MPI จะติดลบ 4.8% และ GPD อุตสาหกรรมจะติดลบ 3% โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ปี 2567 ปรับตัวเพิ่มมาจากการค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลักมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว ประเทศเศรษฐกิจหลักมีทิศทางชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย ภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนไทยยังมีทิศทางขยายตัว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามในปี 2567 ยังต้องติดตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเป็นวงกว้าง อีกทั้งต้นทุนการผลิต ค่าครองชีพ หนี้สินภาคธุรกิจและครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากระดับราคาพลังงาน อัตราดอกเบี้ยที่สูง กดดันภาคการผลิตและกำลังซื้อผู้บริโภค และความผันผวนของค่าเงิน รวมทั้งปรากฏการณ์เอลนีโญที่เป็นประเด็นให้ต้องติดตามในระยะต่อไป
ทั้งนี้สศอ.ได้ปรับประมาณการ MPI ปี 2566 จะติดลบ 4.8% และ GPD อุตสาหกรรมจะติดลบ 3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าMPI จะติดลบ 2.8 - 3.8% และ GDP ภาคอุตสาหกรรมติดลบ 1.5-2.5% จากปีก่อนเนื่องจาก MPI เดือนตุลาคม ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 89.38 ลดลง 4.29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 10 เดือนแรกของปี 2566 ติดลบ 5.04 % ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนตุลาคมอยู่ที่ 56.83% และ 10 เดือนแรกอยู่ที่เฉลี่ย 59.53% จากปัจจัยสำคัญได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ช้า จากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่
ปัจจุบันยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าเป้า เนื่องจากนโยบายของประเทศจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และนโยบายจีนฟรีวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2566 ยังขยายตัวจากฐานต่ำของปีก่อน ซึ่งยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์การส่งออกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมีนโยบาย ช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น นโยบายลดค่าไฟฟ้าและตรึงราคาน้ำมันดีเซล เป็นต้น
นอกจากนี้ ระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนพฤศจิกายน 2566 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังในช่วงขาลง” จากปัจจัยภายในประเทศที่ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีปริมาณสินค้านำเข้าของไทยปรับลดลง รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของไทย 3 เดือนข้างหน้า “ชะลอตัวในช่วงขาลง” และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม 3 เดือนข้างหน้า ลดลงจากเดือนก่อน ตามความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น