xs
xsm
sm
md
lg

สนค.ชี้เป้าผู้ประกอบการ ทำธุรกิจช่วยภาคเกษตรปกป้องสิ่งแวดล้อม ลดปล่อยก๊าซ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สนค.เผยภาคการเกษตรทั่วโลกเร่งปรับตัว สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ส่งผลให้เกิดธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกิจลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ธุรกิจลดการใช้น้ำ ธุรกิจแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพไทยที่จะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แถมเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะทำการเกษตรสอดรับเทรนด์โลก ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามสถานการณ์ภาคเกษตรและธุรกิจการเกษตร พบว่าภาคเกษตรทั่วโลกต่างพยายามเร่งปรับตัวเพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาปรับใช้กับภาคเกษตร รวมทั้งไทยที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาภาคเกษตร ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ อีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทย

ทั้งนี้ สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) มีการรายงานข้อมูลว่า ภาคเกษตรกรรมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากภาคพลังงาน และยังมีการใช้น้ำจืดมากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณน้ำจืดทั่วโลก ซึ่งการทำเกษตรกรรมเพื่อให้มีผลผลิตที่มากเกินความต้องการ (Overproduction) และการทำเกษตรกรรมแบบไม่ยั่งยืน (Unsustainable Farming) รวมทั้งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะยิ่งทำให้พื้นที่และทรัพยากรทางการเกษตรเสื่อมโทรม

ปัจจุบันพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลกมากกว่าครึ่งหนึ่งเกิดความเสื่อมโทรม ส่งผลให้สูญเสียผลิตภาพการผลิตมากถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยสาเหตุหลักมาจากเกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีผลผลิตทางการเกษตรร้อยละ 29 ของโลก ที่ไม่สามารถทำการเกษตรแบบยั่งยืน ทำให้เทรนด์ธุรกิจการเกษตรเริ่มใส่ใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนด้านการเกษตร ช่วยลดความเสื่อมโทรมของพื้นที่เกษตรกรรม และลดการสูญเสียผลิตภาพการผลิตทางการเกษตร

นายพูนพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้มีการใช้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่เข้ามาช่วยในการทำเกษตรเพิ่มมากขึ้น และเกิดธุรกิจใหม่ๆ ในการทำการเกษตร ได้แก่ ธุรกิจเพื่อการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคปศุสัตว์ เพราะการเลี้ยงสัตว์ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึงร้อยละ 14.5 โดยร้อยละ 65 ของก๊าซเรือนกระจกในภาคปศุสัตว์มาจากอุตสาหกรรมโคเนื้อและโคนม จึงเป็นสาเหตุหลักที่นักลงทุนและนักธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมหันไปมุ่งเน้นนวัตกรรมโปรตีน เช่น โปรตีนทางเลือกที่ผลิตจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น พืช สาหร่าย แมลง และจุลินทรีย์ โดยตัวอย่างบริษัทที่ตอบโจทย์การทำนวัตกรรมโปรตีน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ บริษัท Remilk ประเทศอิสราเอล ผู้ผลิตโปรตีนนมโดยไม่ใช้วัว (Animal-free Dairy Proteins) แต่ใช้นวัตกรรมผลิตนมจากห้องทดลองโดยวิธีการหมักจุลินทรีย์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล และหน่วยงานอาหารของสิงคโปร์ บริษัทประสบความสำเร็จในการระดมทุนได้ถึง 120 ล้านดอลลาร์ ขณะนี้กำลังเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตโปรตีนนมโดยไม่ใช้วัวที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย

ธุรกิจเพื่อลดการใช้น้ำ เพราะปัญหาภัยแล้งมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การทำเกษตรรูปแบบเดิมทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถช่วยปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรเกี่ยวกับการใช้น้ำ เช่น การทำเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ที่สามารถระบุปริมาณน้ำที่ต้องใช้ในการทำเกษตรได้อย่างแม่นยำ การใช้เทคโนโลยีปรับปรุงพันธุ์พืชให้ทนทานต่อความแห้งแล้ง โดยตัวอย่างบริษัทที่ตอบโจทย์การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้น้ำภาคเกษตร ได้แก่ บริษัท KIlimo ให้บริการในแถบประเทศละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา ชิลี และเม็กซิโก บริษัทมีการจำหน่ายแพลตฟอร์มที่ช่วยจัดการระบบใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ Big Data จุดเด่นของแพลตฟอร์มดังกล่าวคือ มีการประมวลผลเพื่อชดเชยปริมาณการใช้น้ำในการเกษตร อาทิ การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยประหยัดน้ำในการทำเกษตรได้

ธุรกิจเพื่อการแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถป้องกัน ปรับปรุงและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของสภาพดินอย่างมีประสิทธิภาพ มีตัวอย่างบริษัทที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูความเสื่อมโทรมสภาพดิน ได้แก่ บริษัท Boomitra สหรัฐฯ ใช้ดาวเทียมและเทคโนโลยี AI ในการติดตามและรายงานปริมาณคาร์บอนในดินทั่วโลก และมีแพลตฟอร์มในการประเมินคุณภาพดินและความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน ทำให้เกษตรกรสามารถมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตในดินได้

“เทรนด์ธุรกิจภาคเกษตรที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน สามารถสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพที่สนใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น การจำหน่าย ให้บริการแพลตฟอร์มการเกษตรที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งธุรกิจดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิต และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้” นายพูนพงษ์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น