รถไฟทางคู่สายใต้งานโยธาคืบหน้ากว่า 98% เตรียมเปิดวิ่งช่วงสถานีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จังหวัดชุมพร รวม 348 กม. "สุรพงษ์" สั่งเร่งประชาสัมพันธ์การปรับตารางการเดินรถใหม่ และเตรียมขยายเส้นทางขบวนรถธรรมดา กรุงเทพฯ-หัวหิน ไปถึงสวนสน เริ่ม 15 ธ.ค. 66
วันที่ 15 พ.ย. 2566 นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานถึงความคืบหน้าสถานะการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ระยะที่ 1 ช่วงนครปฐม-ชุมพร ระยะทางรวม 420 กิโลเมตร โดยในเส้นทางช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 84 กิโลเมตร ปัจจุบันการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จแล้ว และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เปิดใช้งานรถไฟทางคู่ช่วงสถานีเขาเต่าประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 78 กิโลเมตรแล้ว
ทั้งนี้ จากที่ได้มีข้อสั่งการเมื่อเดือน สิงหาคม 2566 มอบหมายให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ลงพื้นที่ประสานงานร่วมกับ รฟท.และผู้รับจ้าง เร่งรัดการก่อสร้างเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้ดังกล่าวให้เร็วขึ้นตามนโยบาย Quick Win ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
นายสุรพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ รฟท.ได้รายงานเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างงานโยธาของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร มีความคืบหน้ากว่า 98% และ รฟท.มีแผนจะเปิดใช้งานรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงสถานีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จังหวัดชุมพร รวมระยะทางประมาณ 348 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เพื่อให้การเดินรถไฟทางคู่ในเส้นทางดังกล่าวมีประสิทธิภาพและความคล่องตัว ได้มีการปรับตารางเวลาเดินรถไฟทั้งในส่วนของการรองรับผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า อีกทั้ง จะมีการขยายเส้นทางขบวนรถธรรมดาที่ 261/262 จากเดิม “กรุงเทพฯ (หัวลำโพง)-หัวหิน-กรุงเทพฯ (หัวลำโพง)” ขยายเป็น “กรุงเทพฯ (หัวลำโพง)-สวนสนประดิพัทธ์-กรุงเทพฯ (หัวลำโพง)” ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป
นายสุรพงษ์กล่าวว่า เมื่อมีการเปิดใช้รถไฟทางคู่สายใต้ ระยะที่ 1 ดังกล่าวแล้ว จะช่วยลดระยะเวลาเดินทางของประชาชนลงได้ถึงร้อยละ 25-30 เช่น กรุงเทพฯ-หัวหิน จากเดิมใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง เหลือเพียง 3 ชั่วโมง หรือช่วงกรุงเทพฯ-ชุมพร จากเดิม 8 ชั่วโมง เหลือเพียงประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้น
ทั้งนี้ รฟท.ได้ประกาศปรับตารางการเดินรถในช่วงเส้นทางดังกล่าวในวันนี้ จึงได้สั่งการให้ ขร. รฟท.เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป
