อีอีซี รวมพลังภาคีภาครัฐ-เอกชน หนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะและรับส่งพนักงานในพื้นที่พร้อมร่วมพัฒนาระบบนิเวศการลงทุน นำร่องปี 66 เกิดรถโดยสารไฟฟ้า 100 คัน คาดใน 5 ปี เพิ่มเป็น 6,000 คัน จูงใจดึงลงทุนคลัสเตอร์ EV และ BCG สร้างการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
วันนี้ (28 ก.ย.) นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะและรถรับ-ส่งพนักงานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) และมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนามฯ ครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนนโยบาย BCB Model ที่มุ่งเน้นการยกระดับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในพื้นที่อีอีซี ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นฐานการผลิต EV แห่งภูมิภาค โดยภายใต้กรอบข้อตกลงดังกล่าวจะส่งเสริมการใช้ EV ในการขนส่งสาธารณะและการรับ-ส่งพนักงานให้แพร่หลาย ประชาชนในพื้นที่อีอีซีสามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผลักดันให้เกิดการผลิต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาพื้นที่อีอีซีในภาพรวมให้เป็นพื้นที่ Net Zero Carbon Emission
ทั้งนี้ อีอีซีจะเชื่อมโยงความร่วมมือและพัฒนากลไกการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ โดยทุกฝ่ายจะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ฯลฯ โดยอีอีซีจะร่วมขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศจูงใจให้เกิดการลงทุน เช่น เรื่องสิทธิประโยชน์รูปแบบภาษีและไม่ใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกเพิ่มความรวดเร็วในการอนุมัติ อนุญาตที่อีอีซีสามารถออกใบอนุญาตแทนหน่วยงานต่างๆ ได้ถึง 44 ใบอนุญาต คาดว่าจะเริ่มได้ในมกราคม ปี 2567 ซึ่งจากความร่วมมือครั้งนี้เป็นกิจกรรมสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับคลัสเตอร์ EV และคลัสเตอร์ BCG (ในกลุ่มพลังงานสะอาด)
นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า การลงนามฯ ครั้งนี้จะเป็นโครงการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบการใช้รถโดยสารไฟฟ้าสำหรับขนส่งสาธารณะและรับ-ส่งพนักงานในพื้นที่อีอีซี โดยคาดว่าในปี 2566 นี้จะเกิดรถโดยสารไฟฟ้า อย่างน้อย100 คัน พร้อมสถานีชาร์จ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 5 พันตันต่อปี เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และพัฒนาวัตถุดิบสินค้าในประเทศ (local content) เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 360 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายของโครงการ ฯ ในระยะ 5 ปี จะสามารถเพิ่มรถโดยสารไฟฟ้า 6,000 คัน อย่างไรก็ตาม ในภาพใหญ่ของทั้งประเทศ คาดว่าภายใน 2 ปีหากสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารไฟฟ้าได้ 10,000 คันทั้งประเทศจะมีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 60,000 ล้านบาท เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศมากกว่า 48,000 ล้านบาท ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 5 แสนตันต่อปี
นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช.กล่าวว่า สอวช.จะดำเนินการภายใต้ข้อตกลงฉบับนี้ เพื่อนำร่องให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชน เร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนสำคัญให้มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และสร้างซัปพลายเชนในประเทศให้มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ศาสตราจารย์ ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช.ความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้จริง และยกระดับระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่อีอีซี รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบการในการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของ สวทช.ที่ต้องการสนับสนุนเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำต่อไป
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะสนับสนุนการเข้าถึงการบริการทางการเงินของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการประกอบธุรกิจ โดยธนาคารเห็นถึงโอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต