xs
xsm
sm
md
lg

“HAYAT” คอนซูเมอร์ตุรกีลุยไทย จ่อผุดฐานผลิต-บุกตลาดผ้าอนามัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - “ฮายัท” (HAYAT) ยักษ์คอนซูเมอร์จากตุรกี บุกไทย จ่อลงทุนสร้างฐานผลิตสินค้ามูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดสิ้นปีนี้สรุปได้ว่าจะปักฐานผลิตที่ไทยหรือเวียดนามที่ผุดโรงงานไปหนึ่งแห่งแล้ว หลังนำร่องในไทยด้วยการรุกตลาดผ้าอ้อมเด็กเมื่อปี 2564 และล่าสุดบุกตลาดผ้าอนามัย


นายเอมเร่ เซน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮายัท ไฮจีนิค โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือของฮายัท กรุ๊ป จากตุรกี เปิดเผยว่า ทางกลุ่มฮายัท (HAYAT ) ซึ่งเป็นธุรกิจคอนซูเมอร์รายใหญ่จากประเทศตุรกี อยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะลงทุนประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างโรงงานผลิตสินค้าคอนซูเมอร์ในเครือของบริษัทในภูมิภาค APAC ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะลงทุนในประเทศไทยหรือเวียดนาม คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในปลายปีนี้

ทั้งนี้ ประเทศไทยก็ถือว่าเป็นตลาดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมหลายอย่าง ทั้งจำนวนประชากร กำลังซื้อ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีในระยะยาว เป็นต้น โดยมองทำเลสร้างโรงงานที่ชลบุรี ซึ่งภายในสัปดาห์นี้บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าพบบีโอไออีก (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ/BOI) ด้วย โดยโรงงานในไทยนี้คาดว่าจะใช้ผลิตกระดาษทิชชู ผ้าอ้อมเด็ก เป็นต้น ขณะที่ในเวียดนามนั้นได้ลงทุนสร้างโรงงานไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งอยู่ในงบรวมมากกว่า 3,600 ล้านบาท ที่ลงทุนในภูมิภาค APAC ซึ่งใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าผ้าอ้อมเด็ก ผ้าอนามัย กระดาษทิชชู และจะขยายการผลิตในส่วนของ น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เป็นต้น


การขยายการลงทุนครั้งนี้เพื่อเป็นไปตามการขยายตลาดของ HAYAT ทั่วโลก ที่ทางกลุ่มเป็นผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก รวมทั้งเป็นผู้ผลิตกระดาษชำระรายใหญ่อันดับ 1 ในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จำหน่ายกว่า 100 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มฮายัทได้เข้ามาทำตลาดในไทยเมื่อปี 2564 ด้วยการตั้งบริษัท ฮายัท ไฮจีนิค โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการโดยเริ่มจากสินค้าตัวแรกคือ ผ้าอ้อมเด็ก แบรนด์ Molflix (โมลฟิกซ์) โดยมีนางเอกสาว ศรีริต้า เจนเซ่น เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ ซึ่งปัจจุบันก็ได้ผลตอบรับค่อนข้างดี โดยได้ส่วนแบ่งทางการตลาด 6% และก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 3 ของตลาดผ้าอ้อมเด็กในประเทศไทยภายในปีแรกที่ทำตลาด

ล่าสุดกลุ่มฮายัทก็เข้ามารุกตลาดผ้าอนามัย แบรนด์โมลเพด (MOLPED) ฮายัท กรุ๊ป ปัจจุบัน Molped (โมลเพด) เป็นผู้นำตลาดผ้าอนามัยอันดับหนึ่งในประเทศตุรกี และอีกกว่า 60 ประเทศในทวีปเอเชีย และแอฟริกา โดยในทุกๆ 1 นาทีจะมีผู้หญิงได้มีโอกาสใช้ผ้าอนามัยโมลเพดมากกว่า 2,100 ชิ้น


สำหรับตลาดผ้าอนามัยในไทยนี้มีผู้กระจายสินค้ามากกว่า 16 ราย โดยมองว่าตลาดผ้าอนามัยในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 6,000 ล้านบาท หรือเท่ากับ การใช้ผ้าอนามัยของผู้หญิงในประเทศไทยกว่า 140 ล้านชิ้นต่อปี ตลาดเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยแบ่งเป็นตลาดผ้าอนามัยสำหรับกลางวันประมาณ 67% และตลาดผ้าอนามัยสำหรับกลางคืนประมาณ 33% โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ที่ 5% ภายในปีแรก 20% ภายใน 3 ปี และได้ส่วนแบ่งการตลาด 30% ภายใน 5 ปี กลายเป็นผู้นำหนึ่งในสามของตลาดผ้าอนามัยภายในประเทศไทย โดยเจาะกลุ่มผู้หญิงไทย อายุ 15 ถึง 49 ปี ซึ่งมีกว่า 16,000,000 คน

ทั้งนี้ การเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ฮายัท กรุ๊ป ได้ทำงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่า 4 ปี กับกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงไทยกว่า 1,500 คน พบว่าปัจจุบันผู้หญิงไทยกว่า 89% ใช้ผ้าอนามัยแล้วเกิดอาการแพ้ มีอาการผื่นคันจากการระคายเคืองตรงส่วนบริเวณปีกผ้าอนามัย เนื่องจากผ้าอนามัยในปัจจุบันยังมีความนุ่มไม่เพียงพอ ทางฮายัท กรุ๊ป จึงนำปัญหาดังกล่าวมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย Molped (โมลเพด) ที่มีจุดเด่นด้วยส่วนประกอบจากฝ้ายออร์แกนิก และผ่านการทดสอบด้านการระคายเคือง ซึ่งผลิตภัณฑ์ผ้าอนามัย Molped (โมลเพด) มีทั้งแบบกลางวัน รุ่น Soft and Dry นุ่มละมุน แห้งสบาย, รุ่น Icy Cool เย็นสบายคลายกลิ่น และแบบกลางคืนรุ่น Safe Night 29 ซม. ปกป้องตลอดคืน ล็อกประจำเดือนไม่ให้ซึมเปื้อนด้วย Extra Locked 3 Zones และ Super Night 35 ซม. สำหรับคืนที่มามาก พร้อมขอบป้องกัน 3 มิติ


นอกจากนี้ยังส่งผลิตภัณฑ์แผ่นอนามัย Molped (โมลเพด) เข้าสู่ตลาดในประเทศไทยพร้อมกันอีก 3 รุ่น ซึ่งมีทั้ง Molped Daily Fresh แผ่นอนามัยแบบไม่มีน้ำหอม, Molped Icy Cool แผ่นอนามัยแบบเย็น และ Molped Bamboo Fresh แผ่นอนามัยที่มีสารสกัดจากไผ่ธรรมชาติ

“เราวางตำแหน่งสินค้าของเราไว้ที่ พรีเมียมแมส จากตลาดรวมที่มี 3 กลุ่มหลัก คือ ระด้บพรีเมียม ระดับพรีเมียมแมส และระดับแมส และทำตลาดเต็มที่แบบ 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์”










กำลังโหลดความคิดเห็น