กรมพัฒนาธุรกิจการค้าวิเคราะห์ทิศทางธุรกิจ MICE พบมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง หลังพ้นสถานการณ์โควิด-19 เผยมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่ม ผลประกอบการดีขึ้น คาดปี 66 ยังขยายตัวได้อีก เหตุต่างชาตินิยมเข้ามาจัดในไทย เหตุมีที่ตั้งเหมาะสม คมนาคมสะดวก มีที่ท่องเที่ยวมากมาย และค่าใช้จ่ายไม่สูง แนะผู้ประกอบการที่จะเข้าสู่ธุรกิจ ทั้งรายเดิม รายใหม่ ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เลือกที่จัดให้โดนใจ มีสิ่งอำนวยความสะดวก
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้วิเคราะห์ธุรกิจจัดประชุม ฝึกอบรม แสดงสินค้า และคอนเสิร์ต หรือธุรกิจ MICE พบว่า มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี 2563 โดยสถิติการจัดตั้งธุรกิจ และผลประกอบการของธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2563-2565 สามารถเห็นภาพการฟื้นตัวได้ชัดเจน โดยการจัดตั้งธุรกิจ ปี 2563 มีจำนวน 559 ราย ทุนจดทะเบียน 704.48 ล้านบาท ปี 2564 จัดตั้ง 454 ราย ลด 18.8% ทุน 668.83 ล้านบาท ลด 5.06% ปี 2565 จัดตั้ง 536 ราย เพิ่ม 18.07% ทุน 814.04 ล้านบาท เพิ่ม 21.72% และช่วง 6 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) จัดตั้ง 388 ราย ทุน 524.88 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการ ปี 2563 อยู่ที่ 3.11 หมื่นล้านบาท ขาดทุน 394 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 2.94 หมื่นล้านบาท ลด 5.4% ขาดทุน 357.18 ล้านบาท ลด 9.4% และปี 2565 รายได้รวม 3.61 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 22.8% กำไร 1.28 พันล้านบาท เพิ่ม 457.53%
สำหรับการลงทุนในธุรกิจส่วนใหญ่เป็นคนไทย มูลค่าการลงทุน 3.90 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 97.42% ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า 303 ล้านบาท สัดส่วน 0.76% รองลงมา คือ ญี่ปุ่น มูลค่า 209 ล้านบาท สัดส่วน 0.52% อเมริกา มูลค่า 81 ล้านบาท สัดส่วน 0.20% และอื่น ๆ มูลค่า 440 ล้านบาท สัดส่วน 1.10%
ทั้งนี้ ธุรกิจจัดประชุม ฝึกอบรม แสดงสินค้า และคอนเสิร์ต ที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 30 มิ.ย.2566 มีจำนวน 6,256 ราย คิดเป็น 0.76% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ (882,055 ราย) และมีมูลค่าทุน 40,004.89 ล้านบาท คิดเป็น 0.19% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย (21.41 ล้านล้านบาท) โดยธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด จำนวน 5,576 ราย คิดเป็น 89.13% มูลค่าทุน 38,270.57 ล้านบาท และเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท) มากที่สุด จำนวน 4,796 ราย ราย คิดเป็น 76.66% สถานประกอบการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 3,408 ราย (ร้อยละ 54.48) ทุนจดทะเบียนรวม 19,031.06 ล้านบาท (ร้อยละ 47.57) รองลงมา คือ ภาคกลาง 1,475 ราย (ร้อยละ 23.58) ภาคตะวันออก 337 ราย (ร้อยละ 5.39) ภาคใต้ 331 ราย (ร้อยละ 5.29) ภาคเหนือ 321 ราย (ร้อยละ 5.13) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 299 ราย (ร้อยละ 4.78) และภาคตะวันตก 85 ราย (ร้อยละ 1.35)
นายทศพลกล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) ระหว่างเดือนต.ค.2565-มี.ค.2566 พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 อันดับแรกที่เดินทางเข้าประเทศไทย ผ่านธุรกิจ MICE ประกอบด้วย 1.มาเลเซีย 55,818 ราย 2.สิงคโปร์ 36,059 ราย 3.เวียดนาม 30,269 ราย 4.เกาหลีใต้ 18,611 ราย 5.สหรัฐฯ 16,992 ราย 6.อินโดนีเซีย 12,377 ราย 7.ญี่ปุ่น 10,597 ราย 8.อินเดีย 8,897 ราย 9.เยอรมนี 7,896 ราย และ 10.จีน 7,659 ราย
โดยธุรกิจจัดประชุม ฝึกอบรม แสดงสินค้า และคอนเสิร์ต เป็นธุรกิจที่ชาวต่างชาติสนใจเดินทางเข้ามาจัดงานในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เหตุมาจากความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ครบครัน มีสนามบินขนาดใหญ่ การคมนาคมที่สะดวกสบาย สถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย และค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการท่องเที่ยวไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างเม็ดเงินทั้งจากคนในประเทศและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องได้รับผลดีไปด้วย เช่น ธุรกิจโรงแรม ห้องพัก ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ต่างให้ความสนใจและเพิ่มความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจจัดประชุม ฝึกอบรม แสดงสินค้า และคอนเสิร์ตมากยิ่งขึ้น โดยมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้มีความสมบูรณ์ การสร้างสถานที่จัดงานที่มีความพร้อมและสามารถบรรจุผู้เข้าชมงานได้จำนวนมาก พัฒนาอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ให้มีความทันสมัย รวมถึง การคมนาคมที่สามารถเข้าถึงสถานที่จัดงานได้อย่างสะดวก ซึ่งจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทยในอนาคต
“ผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ธุรกิจ และผู้ประกอบการรายเดิมที่ประกอบธุรกิจอยู่แล้ว จำเป็นต้องคำนึงถึงความพร้อมของธุรกิจและบุคลากรเป็นหลัก การจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพื่อความเป็นมืออาชีพในการจัดงาน การเลือกสถานที่จัดงานที่โดนใจลูกค้า พร้อมเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพราะที่กล่าวมาล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และมีจุดแข็งเหนือคู่แข่ง ที่สำคัญเมื่อการจัดงานสำเร็จเสร็จสิ้นลง ผลงานที่ออกมาโดนใจและบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ลูกค้ากำหนด จะส่งผลให้เกิดการใช้บริการซ้ำและเป็นลูกค้าประจำ และหากจะมีการจัดประชุม ฝึกอบรม แสดงสินค้า และคอนเสิร์ต ก็จะคิดถึงไทยเป็นประเทศแรกที่จะเลือกในการจัดงานครั้งต่อไป”นายทศพลกล่าว