ผู้จัดการรายวัน 360 - ไวต้า กรีน กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง บุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยชิงตลาด 8.7 หมื่นล้านบาท ด่านแรกยื่นขอ อย. 4 รายการ มั่นใจตลาดไปได้ไกล
นางไอวี่ เชาว์ สุนทรสีมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวต้า กรีน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือไวต้า กรีน กรุ๊ป ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากฮ่องกง เปิดเผยว่า ทางไวต้ากรุ๊ป (VITA GREEN GROUP) มีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศนอกเหนือจากฮ่องกงให้มากขึ้น จากที่มีบ้างแล้วเช่นในยุโรป อเมริกา สิงคโปร์ เป็นต้น
ล่าสุดได้วางแผนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจในภาพรวม เศรษฐกิจก็ดี กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ดี ผู้คนก็มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอย่างดีแล้ว เปิดกว้างรับมากขึ้นและเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต ยังมีโอกาสทำตลาดได้อีกมาก โดยมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในไทยมีมากกว่า 87,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 5-8%
โดยได้รับเชิญจากองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกงให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้า Think Business, Think Hong Kong (TBTHK) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางธุรกิจและการลงทุน รวมถึงมีการจัดเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มนักธุรกิจไทยได้เข้ามาค้นหาคู่ค้าในการลงทุนร่วมกันกับนักธุรกิจฮ่องกง จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสุขภาพของทางบริษัทฯ เข้ามายังประเทศไทย
“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพจากสมุนไพรจีนทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้น ภาพรวมตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้คนตระหนักและใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญต่อการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย และผู้บริโภคในปัจจุบันเปิดรับผลิตภัณฑ์ที่มาจากสมุนไพรเพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับป้องกัน ดูแล และรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น” นางไอวี่กล่าว
ไวต้า กรีน กรุ๊ป ได้เข้ามาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ ดำเนินการด้วยตัวเอง ชื่อว่า บริษัท ไวต้า กรีน เอเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนรูปแบบการทำตลาดนั้น จะแต่งตั้งคู่ค้าเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ในการกระจายสินค้าให้ตามแต่ละช่องทาง ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นกี่ราย แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้กระจายสินค้าทำได้มากน้อยและมีจุดแข็งช่องทางใด ซึ่งในฮ่องกงนั้นการจำหน่ายของเราก็วิธีเดียวกัน โดยมีขายผ่านตามร้านค้าปลีกที่้เป็นเชนของเครือเราเองคือ ร้านแมนนิ่ง กว่า 30 สาขา และผ่านเชนโมเดิร์นเทรดต่างๆ อาทิ ร้านวัตสัน
อย่างไรก็ตาม จากการทำตลาดไวต้ากรีนกรุ๊ปในหลายประเทศมีรูปแบบต่างกัน เช่น ที่สิงคโปร์จะเป็นการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายรับผิดชอบ ขณะที่ในประเทศไทยเรามาตั้งบริษัททำเอง
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินงานขณะนี้ อยู่ระหว่างการยื่นเรื่องไปยัง อย.เกี่ยวกับการขออนุมัติ กับสินค้าชุดแรกจำนวน 4 เอสเคยู คือ ไวต้า กรีน หลินจือ สินค้าขายดีอันดับหนึ่งในฮ่องกงและเอเชีย ที่ช่วยดูแลและบำรุงสุขภาพร่างกายโดยองค์รวม, ซูเปอร์ไวต้า กรีน ถั่งเช่าหยินหยาง ช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย, ไวต้า กรีน ไอซี ช่วยดูแลและบำรุงสายตา และไวต้า กรีน ไวต้าจอยท์ ช่วยบำรุงข้อและกระดูกให้แข็งแรง โดยราคาจำหน่ายจะพยายามให้ใกล้เคียงที่ฮ่องกงบวกด้วยภาษีต่างๆ ที่ต้องเสียในไทย จากน้้นเฟสที่สองจะมีสินค้าใหม่ๆ ทยอยเข้ามาทำตลาดอีกไม่ต่ำกว่า 20 รายการ ซึ่งทั้งหมดนำเข้ามาจากฮ่องกง ที่เป็นโรงงานผลิตของเราเอง หลังจากที่ได้ทยอยลงทุนต่อเนื่องมาเกือบ 30 ปีมีมูลค่ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 2,218 ล้านบาท
“ในฮ่องกง ไวต้า กรีน กรุ๊ป ทำตลาดมานานแล้ว 30 ปี ปัจุบันเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมมากกว่า 40% เนื่องจากบริษัทมีสินค้าหลากหลาย จับกลุ่มเป้าหมายแตกต่างตามสินค้า และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีจำหน่ายทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ แต่ยังไม่มากนัก เรามีโรงงานผลิตและศูนย์วิจัยของเราเองทั้งในฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ ยุโรป และอเมริกาเหนือ จึงทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตและต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวัตถุดิบที่สำคัญโดยเฉพาะเห็ดหลินจือนี้จะเป็นเห็ดที่เติบโตมาจากธรรมชาติในป่าไม่ได้มาจากการปลูกเองจึงทำให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่า โดยมาจากมณฑลกวางสี และทำการล้างมากกว่า 150 ครั้ง ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการผลิต” นางไอวี่กล่าว