ไทย-ยูเออี เจรจา FTA รอบ 2 ร่วมยกร่างความตกลง 11 เรื่อง ผ่านคณะทำงานที่ดูแล 11 คณะ เผยมีความคืบหน้ามาก วางแผนเจรจารอบ 3 ที่ดูไบ และรอบ 4 ที่กรุงเทพฯ ตั้งเป้าสรุปผลภายในปีนี้ เผยหากเจรจาสำเร็จ จะช่วยดัน GDP ไทยเพิ่ม ส่งออกเพิ่มในหลายสินค้า ทั้งอาหาร สิ่งทอ ไม้ ยาง พลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 18–20 ก.ค.2566 ที่ผ่านมา ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) ไทย–สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รอบที่ 2 ณ กรุงเทพฯ โดยการหารือในรอบนี้ ไทยและยูเออีได้ร่วมกันยกร่างความตกลงผ่านการประชุมคณะทำงาน 11 คณะ ได้แก่ 1.การค้าสินค้า 2.พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า 3.มาตรการเยียวยาทางการค้า 4.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและ MSMEs 5.กฎหมายและสถาบัน 6.ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 7.ทรัพย์สินทางปัญญา 8.การค้าบริการ รวมถึงการค้าดิจิทัล 9.การลงทุน 10.มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และ 11.มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ซึ่งการหารือมีความคืบหน้ามาก
ทั้งนี้ ในส่วนของการประชุมคณะกรรมการเจรจา ซึ่งตนเป็นประธานร่วมกับนาย Juma Mohammed Al Kait ผู้ช่วยปลัดด้านการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจยูเออี หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายยูเออี ได้ร่วมกันวางแผนการประชุมรอบต่อไป โดยยูเออีจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรอบที่ 3 ปลายเดือน ส.ค. 2566 ณ เมืองดูไบ และไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรอบที่ 4 ปลายเดือน ก.ย.2566
“คาดว่าจะมีความคืบหน้าสู่การสรุปผลเจรจาภายในปี 2566 ตามที่ ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ ยูเออี และได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันเอาไว้”นางอรมนกล่าว
นางอรมนกล่าวว่า จากการศึกษาประโยชน์และผลกระทบของการจัดทำ CEPA ไทย–ยูเออี พบว่า จะส่งผลให้ GDP ของไทยเพิ่มขึ้น 318–357 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,867–12,201 ล้านบาท การส่งออกของไทยขยายตัว 190–243 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,494-8,305 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าของไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีการจัดทำ CEPA ส่วนสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกได้มากขึ้น เช่น อาหาร สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ ไม้ ยาง และพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน และสินค้าที่จะนำเข้าเพิ่มขึ้น เช่น เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
สำหรับยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 6 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลาง โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับยูเออีมีมูลค่า 20,824.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 73.9% โดยไทยส่งออกไปยูเออี มูลค่า 3,420.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากยูเออี มูลค่า 17,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เป็นต้น สำหรับในช่วง 5 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 7,698.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลด 4.50% โดยเป็นการส่งออก มูลค่า 1,309.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้า มูลค่า 6,388.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ