ผู้จัดการรายวัน 360 – “ศรีจันทร์” เปิดเกมรุกหนัก แตกไลน์สู่เฮลท์แอนด์เวลเนส ลดเสี่ยงรายได้ขาเดียวจากบิวตี้ ปีหน้าเปิดตัวสู่ตลาด เล็งกลุ่มอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนแผนเข้าตลาดหุ้นเลื่อนไปเป็นปี 2568 เร่งขยายช่องทางเทรดดิชันนัลเทรด ออกสินค้าใหม่เพียบ หวังดันรายได้รวมปีนี้ทะลุ 1,000 ล้านบาท
นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมขยายธุรกิจไปสู่ตลาดเฮลท์แอนด์เวลเนสเพื่อเป็นการสร้างการเติบโตจากฐานรายได้เพิ่มขึ้นและเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดแค่เพียงสินค้ากลุ่มเดียวอย่างที่ทำมาคือ กลุ่มความงามหรือบิวตี้(Beauty) ซึ่งตลาดแข่งขันสูงมาก จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องสำอางและความงาม 170,000 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อช่วงก่อนเกิดโควิด
ทั้งนี้คาดว่าในปีหน้า(2567)จะสามารถเปิดตัวสินค้าในกลุ่มนี้ได้ ส่วนชื่อแบรนด์นั้นยังไม่สรุปว่าจะใช้ชื่อเดิมคือศรีจันทร์หรือชื่อใหม่ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้บริษัทฯ มีสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอาง2 แบรนด์คือ ศรีจันทร์ และศศิ ส่วนอีกแบรนด์คือ เซเลนี่ที่เป็นครีมอาบน้ำที่บริษัทจะรุกหนักเช่นกันเพิ่งเริ่มไม่านานนี้
“จากการแข่งขันในวงการเครื่องสำอางไทยที่มีแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาต่อเนื่อง ทำให้เรามองหาธุรกิจอื่น ๆ มาเสริมความเข้มแข็งของบริษัทให้เดินหน้าอย่างมั่นคง เพราะการพึ่งพารายได้จากธุรกิจเพียงกลุ่มเดียว ไม่สามารถตอบโจทย์บริบทธุรกิจในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนได้ ดังนั้น จึงพร้อมที่จะรุกไปสู่ธุรกิจ Health, Beauty & Wellness เนื่องจากเทรนด์สุขภาพมาแรงมากขึ้น และมองว่าอนาคตคนจะใช้เงินกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยตอนนี้อยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพตัวแรกออกมาทำตลาดภายในปี2566นี้หรือต้นปีหน้า พร้อมกับวางเป้าหมายต้องการให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่ม Health & Wellness อยู่ที่ 30% ภายใน 5 ปีจากที่เริ่มต้น ส่วนเครื่องสำอาง และสกินแคร์อยู่ที่ 70% จากรายได้รวม”
ในช่วงแรกนี้คงลงทุนประมาณ 30 กว่าล้านบาท ทั้่งในแง่การพัฒนา วิจัย การศึกษาตลาด และเตรียมความพร้อมต่างๆ โดยจะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเป็นผู้ผลิตให้ภายใต้สูตรของบริษัทเช่นเดียวกับกลุ่มความงาม ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มองไว้ก็จะมีทั้ง อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เป็นต้น
นายรวิศ กล่าวต่อว่า ช่วงโควิด-19ที่ผ่านมาส่งผลกระทบกับภาพรวมของเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างมากในตลาดเครื่องสำอางประเภทสีสัน เนื่องจากคนอยูู่บ้านทำงานที่บ้านมากขึ้น การออกไปข้างนอกน้อยลงในช่วงระบาดหนักที่ต้องชัตดาวน์ จึงทำให้ตลาดรวมของสีสันเช่นลิปสติก ครีมรองพื้น ไม่ได้โตเท่าใด ส่วนของศรีจันทร์เองกำไรลดลง เนื่องจากต้นทุนสููงขึ้น ปัญหาด้านซัพพลายเชนก็มี อย่างไรก็ตามในแง่ของยอดขายไม่ได้กระทบมากนัก โดยปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 730ล้านบาท เพิ่มจากปี 2565 ประมาณ40% ที่มีรายได้รวม 530 ล้านบาท ขณะที่ปี2566 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมถึง 1,000 ล้านบาทให้ได้หรือเติบโตเฉลี่ย 25%-30% ส่วนก่อนสถานการณ์โควิดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวมประมาณ 400 กว่าล้านบาท
แผนธุรกิจปีนี้จะทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น เช่นจะมีการออกสินค้าใหม่ครึ่งปีหลังอีกมากกว่า 30 เอสเคยู จากปัจจุบันที่มีประมาณ 250 เอสเคยู และมีแนวคิดที่จะออกสินค้ารุ่นลิมิเต็ดฉลองครบรอบ 75 ปีของบริษัทปีนี้ด้วย การขยายช่องทางเทรดดิชันนัลเทรดมากขึ้น จากเดิมมีส่วนประมาณ 35% ขณะที่ช่องทางโมเดิร์นเทรดมีความแข็งแรงแล้วสัดส่วนยอดขาย 65% และจะขยายช่องทางออนไลน์มากขี้น สัดส่วนขณะนี้มี 5% เท่านั้น การใช้สื่อโซเชียลมีเดียลทำตลาดมากขึ้ การทำตลาดแบบไทน์อินหรือสร้างให้เป็นซอฟท์เพาเวอร์ด้วย
ล่าสุดยังคงมี “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก” รับหน้าที่พรีเซนเตอร์เข้าสู่ปีที่ 4 ซึ่งเป็นการตอกย้ำคุณภาพของ แบรนด์ศรีจันทร์ที่พรีเซนเตอร์มั่นใจ นอกจากนี้ ยังเปิดตัวพรีเซนเตอร์ชายคู่แรก “มาย-ภาคภูมิ” และ “อาโป-ณัฐวิญญ์ “ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มีมุมมองทางความคิดที่เปิดกว้างและพร้อมที่จะดูดีในแบบผู้ชาย ซึ่งสะท้อนผ่านภาพลักษณ์ของแบรนด์ศรีจันทร์ ที่ไม่จำกัดเฉพาะเพศหญิงอีกต่อไป และพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำแห่งวงการเครื่องสำอางไทย
ส่วนตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนรายได้ 10% ตลาดหลักเช่น จีน ญี่ปุ่น ลาว จะขยายประเทศใหม่ๆมากขึ้น ด้วยการแต่งตั้งดิสทริบิวเตอร์แต่ละประเทศ
ส่วนกรณีการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น หลังจากที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 ระบาดทำให้ต้องเลื่อนจากเดิมที่จะเข้าปีนี้ไปอีก 2 ปีหรือช่วงปี2568 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมทุกประการ โดยมีทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท จุดประสงค์หลักการเข้าตลาดหุ้นเพื่อสร้างองค์กรให้มีความเป็นมืออาชีพแบบสากลมากขึ้น ส่วนการระดมเงินเพื่อนำมาใช้ในการลงทุนต่างๆนั้นเช่นการผลิตนั้นยังไม่มีแผนในขณะนี้
นายรวิศ กล่าวให้ความเห็นด้วยว่า การทำธุรกิจจากนี้ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เนื่องจากตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคหลากหลาย การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ต้นทุนดำเนินการก็สูงขึ้นต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ต้องคำนึงให้มากคือ 1.เรื่องของ การบริหารจัดการบุคลากร 2. ความผันผวน ซึ่งปัจจุบันนี้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว และ 3.ต้องเก่งเรื่อง การสร้างนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการเข้าใจลูกค้า