ผู้จัดการรายวัน 360 - ‘บมจ. โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น’ หรือ MOSHI รับอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นตัว ดันรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 43.6% ปักธงทั้งปีตั้งเป้า SSSG เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ปีนี้ 20 สาขา พร้อมเร่งพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้า รุกขยายสู่ TikTok Shop เสริมการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเลข 2 หลัก รองรับความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นโชว์ไตรมาส 1/2566 ทำรายได้ 562.8 ล้านบาท เติบโต 55% และมีกำไรสุทธิ 85.81 ล้านบาท เติบโต 196.9%
นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ MOSHI ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายสาขาและพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้า เนื่องจากปัจจุบันจำนวนสาขาของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 16% ของจำนวนห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด จึงมีช่องว่างสร้างการเติบโตได้อีกมาก
ปีนี้บริษัทฯ วางเป้าหมายจะขยายสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ในพื้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ต่างจังหวัดและตามหัวเมืองใหญ่ที่ยังไม่มีสาขา นอกจากนี้ จะเปิดสาขาในรูปแบบ Standalone เน้นทำเลใกล้แหล่งชุมชน โรงเรียน และแหล่งทำงาน เพื่อเป็นต้นแบบในการศึกษาพัฒนาขยายสาขาแบบ Franchise ในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาค้าปลีกและค้าส่งที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 110 สาขา แบ่งเป็น ร้านค้าปลีกแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 106 สาขา, ร้านค้าปลีกแบบมีส่วนลดแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา, ร้านค้าส่ง The OK Station 1 สาขา และร้านค้าส่ง Giant 1 สาขา โดยตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งจะมาจากยอดขายของผลิตภัณฑ์หลักไม่ว่าจะเป็นของใช้ในบ้าน เครื่องเขียน ตุ๊กตา อุปกรณ์ IT เป็นต้น
นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงออกสินค้าในลักษณะ Collection, สินค้าตามฤดูกาล (Seasonal) และสินค้าลิขสิทธิ์การ์ตูนที่เป็นที่นิยมใหม่ๆ รวมทั้งการสร้างแบรนด์ร่วมกัน (Co-Branding) กับ Influencer รวมไปถึงการจัดทำชุดเซ็ทสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อขาย การตกแต่งหน้าร้าน (Visual Merchandise) เพื่อดึงดูดความน่าสนใจ การออกแบบลวดลายสินค้าให้ทันสมัยและออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า ตลอดจนการพยายามปรับสัดส่วนสินค้า (Product Mix) โดยมุ่งเน้นสินค้ากลุ่มที่มีกำไรสูง เพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทฯ
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เดินหน้าทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดกิจกรรมสนับสนุนคอนเสิร์ต NCT DREAM TOUR ‘THE DREAM SHOW2: In A DREAM’ ผ่านกิจกรรมช้อปที่โมชิ โมชิ ลุ้นบัตรคอนเสิร์ตในรอบการแสดงวันที่ 11 มีนาคม 2566 ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม รวมถึงได้เปิดสาขาเพิ่มในไตรมาส 1/2566 จำนวน 3 สาขา ได้แก่ อัศวรรณ คอมเพล็กซ์ หนองคาย, โลตัส นครนายก และเซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่พลาซ่า
ขณะที่ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์ในไตรมาสแรกแม้จะเติบโตได้ช้ากว่าช่องทางออฟไลน์เนื่องจากคนเริ่มกลับมาเดินทางมากขึ้นจึงเลือกซื้อสินค้าที่สาขามากกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถผลักดันการเติบโตเป็นเลข 2 หลัก โดยจะเพิ่มช่องทางการขายผ่าน TikTok Shop ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 2/2566 ซึ่งนับเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม Social Media Application รวมถึง Shopping Destination ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 562.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 363.02 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มค้าปลีก 479.99 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 85.3% กลุ่มค้าส่ง 79.57 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 14.1% และช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น 3.24 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.6%
การเติบโตดังกล่าวมาจากกำลังซื้อที่กลับมาตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งการเปิดประเทศ เปิดห้างสรรพสินค้า การเปิดโรงเรียน การกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ และการกลับมาจัดกิจกรรมรื่นเริงได้ ส่งผลทำให้อัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 43.6%
ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 85.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 28.90 ล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) ทั้งร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งที่เพิ่มขึ้น การเปิดสาขาใหม่ การขยายพื้นที่ร้านบางสาขาเพื่อรองรับลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อรับกับโอกาสความต้องการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น อันมาจากการฟื้นตัวของรายได้จากสาขาในแหล่งท่องเที่ยวและความต้องการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความสามารถบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น