การตลาด – จับตา ค่ายพีที ดัน “กาแฟพันธ์ุไทย” เต็มที่ เล่นเกมใหญ่ งัดแผนเชิงรุก หวังดันขึ้นเป็นเชนกาแฟไทยใหญ่อันดับที่สองในปั๊มน้ำมัน เป้าหมาย 5,000 สาขาภายในปี 2570เร่งเครื่องโมเดลแฟรนไชส์
ตลาดร้านกาแฟที่เป็นเชนของค่ายปั๊มน้ำมันที่เป็นเจ้าของเองในเมืองไทย เริ่มและสร้างแบรนด์ขึ้นมาจากในปั๊มน้ำมันของตัวเองก่อน ก่อนที่จะขยายตัวและแตกตัวออกไปทั่วบ้านทั่วเมืองและออกนอกปั๊มน้ำมันด้วย ที่เห็นกันชัดๆก็มีเพียง 3 แบรนด์หรือ 3 รายหลักเท่านั้น
ประกอบด้วย คาเฟ่ อเมซอน ของปตท. เป็นผู้นำตลาดด้วยสาขารวมมากกว่า 5,000 สายขาแล้ว รองลงมาก็คือ อินทนิล ของค่ายปั๊มบางจาก และแบรนด์ที่มาแรงเวลานี้คือ พันธ์ุไทย ของค่ายพีทีสีเขียว"พีทีจี เอ็นเนอยี"
ที่ผ่านมากว่า 11 ปี กาแฟพันธ์ุไทย อาจจะไม่ได้เดินเครื่องเชิงรุกมากนัก ธุรกิจเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปบนพื้นที่ทำเลปั๊มตัวเองเป็นหลัก แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่แบรนด์เริ่มมีศักยภาพ เพราะผู้คนรู้จักมากขี้น เครื่องดื่มเป็นที่ยอมรับ และเริ่มเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้นกว่าเดิม และตลาดกาแฟโดยรวมเองก็มีศักยภาพและแนวโน้่มเติบโตต่อเนื่อง ทำให้ กาแฟพันธ์ุไทย ต้องมาสวมบทรุกอย่างเต็มตัว
ทั้งนี้ตลาดรวมกาแฟในไทยมีมูลค่าประมาณ 6000 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มกาแฟที่ดื่มนอกบ้านประมาณ 27,000 ล้านบาท หรือสัดส่วน 45% ิลิาแฟที่ดื่มในบ้าน 55% โดยตลาดมีการเติบโตเฉลี่ย 9.5% ต่อปี ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคก็ดื่มกาแฟมากจขึ้นตามลำดับ โดยคนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย 300 แก้วต่อคนต่อปี แม้ดูเหมือนจะมากแต่ก็ยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างในยุโรปดื่มประมาณ 700 แก้วต่อคนต่อปี
อีกทั้งยังมีร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ด ทั้่งกลุ่มตลาดแมส ตลาดทั่วไป และตลาดพรีเมียม สเปเชียลตี้คอฟฟี่ ทำให้ความต้องการเมล็ดกาแฟในไทยมากถึง 70,000 ตันต่อปี ขณะที่ประเทศไทยผลิตได้เองเพียง 10,000 ตันต่อปีเท่านั้น หรือใช้มากกว่าที่ผลิตได้เองมากกว่า 7 เท่าซึ่งเป็นข้อมูลของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.)
ขณะที่ในตลาดระดับโลกนั้น คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดกาแฟในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 9% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.91 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจัยเหล่านี้ บ่งบอกได้ว่า ตลาดกาแฟในไทย มีอนาคตอย่างมาก แต่ก็แข่งขันรุนแรงเช่นกัน ชี้ให้เห็นปัจจัยบวกของกาแฟในประเทศไทย ที่เต็มไปด้วยโอกาสเติบโตอีกมาก
กาแฟพันธ์ุไทย จึงเป็นอีกหนี่งแบรนด์ที่้ต้องการเติบโตด้วยการวางโรดแมปและอนาคตตัวเองบนเส้นทางของเชนกาแฟปั๊มน้ำมันของไทย ด้วยเป้าหมายก้าวขึ้นสู่แบรนด์อันดับที่่สองในตลาดแมสเชนปั๊มน้ำม้นให้ได้ภายในปี 2556 นี้ ทั้งในแง่ของจำนวนสาขา และยอดขายรวม
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายระยะยาวของ กาแฟพันธ์ุไทย ไว้ว่า เป้าหมายระยะยาวภายในปี2570 บริษัทฯจะต้องขยายร้านกาแฟพันธ์ุไทยให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 สาขา และหลังจากนั้นมีแผนนำธุรกิจ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกด้วย และ จะมี Retail Oil Market Share กว่า 25% มีจำนวนสมาชิก Max Card กว่า 30 ล้านสมาชิกครอบคลุมคนไทยทั่วประเทศ
ขณะที่แผนปี2566วางแผนโดยรวมจะขยายร้านใหม่อีก800 สาขา เพื่อบรรลุจำนวน 1,500 สาขาภายในสิ้นปีนี้ให้ได้ เพื่อสู่จดหมาย การก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดอันดับที่่สองอย่างเต็มตัว
ปัจจุบันนี้ พันธ์ุไทย มีจำนวนร้านประมาณ 600 กว่าสาขาและมียอดขาย3 เดือนล่าสุดไตรมาสแรกปี2566นี้ประมาณ 350 ล้านบาท เติบโตกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันถึง 70% และเติบโตจากสาขาเดิมถึง 35% ประกอบกับภาพรวมของตลาดกาแฟในปัจจุบันที่เติบโตเป็นอย่างมาก
ค่ายพีทีเอง ต้องเตรียมความพร้อมและวางโรดแมปไว้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการสร้างแนวรุกให้กับกาแฟพันธ์ุไทย
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ที่จะขับเคลื่อนให้ “กาแฟพันธุ์ไทย” บรรลุเป้าหมายการขยายแฟรนไชส์ 1,500 สาขา ผลักดันกำไรให้เติบโต 2 เท่า ภายในสิ้นปี 2566 นี้ ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก คือ
1) การขยายสาขาทั่วประเทศด้วยโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ โดยเน้นการเปิดสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย (Coverage Expansion) เข้าถึงได้ง่าย (Accessibility) และเพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ (Visibility) โดยเน้นการขยายสาขาใจกลางเมืองในย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมไปถึงหัวเมืองตามจังหวัดต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและง่ายต่อการเข้าถึง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน
โดยกลยุทธ์ที่กาแฟพันธุ์ไทยมุ่งเน้นคือการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ ด้วยรูปแบบการลงทุนและโมเดลที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับทำเลในแต่ละพื้นที่ และสอดคล้องกับงบประมาณการลงทุน
ปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยเปิดให้บริการกว่า 600 สาขา มีสัดส่วนของสาขาที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมันพีที 60% และสาขานอกสถานีบริการน้ำมันอีก 40% ซึ่งภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 800 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวม 1,500 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2566 นี้ จากเดิมที่สิ้นปีที่แล้วมี 500 สาขา โดยสัดส่วนเป็นสาขาในปั๊มน้ำมันพีที เป็น 60%
แฟรนไชส์ของกาแฟพันธ์ุไทย มี 3 แบบคือ แบบรายเดี่ยวสาขาเดียว, แบบมัลติหรือหลายสาขา และ แบบซับแอเรียแฟรนไชส์ คือการให้สิทธิ์รายใดรายหนึ่งในพื้นที่ที่ตกลงกันไว้ ซึ่งขณะนี้มีแล้ว 2 ราย คือ รายหนึ่งรับผิดชอบพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และอีกรายรับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด
การลงทุนแฟรนส์ไชส์ด้วยรูปแบบการลงทุนที่ง่าย คุ้มค่า แม้ไม่มีประสบการณ์ก็เปิดร้านได้ บริษัทฯ มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและแนะนำไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการบริหารจัดการร้าน, วัตถุดิบต่างๆ รวมถึงการควบคุมคุณภาพและรสชาติของเครื่องดื่มและอาหารภายในร้าน ด้วยงบลงทุนเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท/สาขา เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้ง่ายๆ ธนาคารที่เป็นพาร์ตเนอร์สำหรับพิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการลงทุน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีทำเลที่ตั้ง ทางบริษัทจะนำเสนอทำเลให้ผู้สมัครแฟรนไชส์พิจารณาตามความเหมาะสม ลงทุนก่อนมีสิทธิเปิดร้านก่อน โดยมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2 ปี ซึ่งพันธ์ุไทย เอง ที่อยู่ในเครือปั๊มน้ำมันพีทีที่มีปั๊มน้ำมันมากเป็นอันดับที่สองของไทยประมาณ 2,300 ปั็ม อย่างน้อยทีี่สุดก็น่าจะเป็นทำเลที่สามารถรองรับกับการขยายสาขาได้ทั้งของบริษัทฯเองกับของแฟรนไชส์ได้อย่างดี เพราะปัจจุบันมีเยู่พียง 400 กว่าปั๊มเท่านั้นของพีทีที่มีร้านกาแฟพันธ์ุไทยเปิดบริการในปั๊มอยู่
ส่วนเงื่อนไขแฟรนไชส์ “กาแฟพันธุ์ไทย” แตกต่างกันตามรูปแบบร้านที่มี 5 โมเดล คือ 1. Stand Alone พื้นที่เริ่มต้น 40 ตารางเมตร ส่วนค่าอุปกรณ์และค่าก่อสร้างเริ่มต้นที่ี่ 1.88 ล้านบาท
2. รูปแบบ Built-in พื้นที่เริ่มต้น 35 ตารางเมตร ส่วนค่าอุปกรณ์และค่าก่อสร้างเริ่มต้นที่ 1.6 ล้านบาท
3. รูปแบบ Kiosk พื้นที่เริ่มต้น 9 ตร.ม. ค่าอุปกรณ์และค่าก่อสร้างเริ่มต้นประมาณ 1.2 ล้านบาท
4. รูปแบบ Food Trailer พื้นที่เริ่มต้น 8 ตร.ม. ค่าอุปกรณ์และค่าก่อสร้างเริ่มต้น 1.42 ล้านบาท 5. รูปแบบ Food Truck พื้นที่เริ่มต้น 8 ตร.ม. ค่าอุปกรณ์และค่าก่อสร้างเริ่มต้น 1.45 ล้านบาท
ขณะที่คิดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 150,000 บาท เงินประกันแบรนด์ 2 แสนบาท และค่าดำเนินการอีก 80,000 บาท
ขณะนี้มีร้านที่เป็นแฟรนไชส์แล้วประมาณ 40% ตั้งเป้าจากนี้ 5 ปี สัดส่วนเป็นแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 80%
2) การนำเสนอสินค้าใหม่จากวัตถุดิบท้องถิ่น ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และหาทานได้ยากของไทย มาพัฒนาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มเมนูต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้าของทางกาแฟพันธุ์ไทยแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิต สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ชุมชนและเกษตรกรไทยให้ “อยู่ดีมีสุข” และเติบโตอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมาก็มีการทำหลายครั้งหลายเมนูแล้ว ได้รับการตอบรับอย่างดี ล่าสุดก็คือ การใช้ “นมข้าวโพดไร่สุวรรณ” ของดีจากปากช่อง ความหอมนุ่ม ส่งตรงจากไร่สุวรรณ กับ 3 เมนูใหม่ “โพดจุกใจไร่สุวรรณ” ทั้ง โพดลาเต้ กาแฟพันธุ์ไทยและนมข้าวโพดไร่สุวรรณ หอมหวานเข้มข้น โพดชาเขียว ชาเขียวพันธุ์ไทยและนมข้าวโพดไร่สุวรรณ หอมหวาน กลมกล่อม โพดโกโก้ โกโก้พันธุ์ไทยและนมข้าวโพดไร่สุวรรณ หอมหวานลงตัว เพิ่มเทกเจอร์ความอร่อยนุ่มทุกเมนู ด้วยเมล็ดข้าวโพดหวานเคี้ยวเพลิน ในราคาแก้วละ 69 บาท ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 - 20 กรกฎาคม 2566 ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกสาขาทั่วประเทศและบริการจัดส่งถึงบ้าน
3) การเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่ม Non-Beverage ด้วยสินค้ากลุ่มเบเกอรีและขนมอบ (Bakery & Pastry) ขนมแปรรูปจากชุมชนทั่วประเทศ (Pack Food) สินค้าที่ระลึกและของพรีเมียมจากแบรนด์ (Merchandising) รวมไปถึงเมล็ดกาแฟและกาแฟ ดริปพร้อมดื่มที่บ้าน เพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิลให้มากขึ้น
ปัจจุบัน ขยายสินค้าในทุกกลุ่มนี้ไปในทุกสาขาแล้ว ส่วนปริมาณมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมแต่ละสาขา ซึ่งสัดส่วนรายได้ของกาแฟพันธ์ุไทยทุกวันนี้แบ่งเป็น มาจากเครื่องดื่ม 64% และที่เหลือมาจากอื่นๆที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ได้สัดส่วนมาจากที่่ไม่ใช่เครื่องดื่มเพิ่มมากขึ้น
4) การขยายและรักษาฐานลูกค้าสมาชิก Max Card ในปัจจุบันที่มีกว่า 19 ล้านราย ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถเพิ่มสมาชิกในระบบได้มากกว่า 21 ล้านรายทั่วประเทศ โดยสามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลสมาชิกมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อพัฒนากลยุทธ์ในการสร้างยอดขายและเพิ่มความถี่ในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายหลักในการขยายฐานสมาชิก Max Card Plus หรือบัตรแดง ให้เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าประจำที่มี Brand Royalty และมีกำลังซื้อสูงกว่ากลุ่มทั่วไปมากกว่า 2 เท่า
ทั้งนี้ยอดขายที่มาจากสมาชิกโดยรวมของพันธ์ุไทย มีมากถึง 65% เนื่่องจากสมาชิกผู้ํถือบัตรจะมีสิทธิพิเศษที่มากมาย ที่ได้รับและยังใช้กับพันธมิตรรายอื่นได้ด้วย
นายพิทักษ์ กล่าวว่า การนำ “นมข้าวโพดไร่สุวรรณ” มาเป็นส่วนผสมเมนูใหม่ครั้งนี้ เป็นโครงการนำร่องโครงการแรกที่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันในการสนับสนุนการศึกษา ส่งเสริมงานวิจัย ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมต่างๆ พร้อมสนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรของทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านร้านค้าและแบรนด์ต่างๆ ภายในเครือ ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการน้ำมันพีที ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท ทั่วประเทศ
ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และพีทีจี มีอุดมการณ์บนจุดมุ่งหมายเดียวกันคือความมุ่งมั่นขับเคลื่อนสังคม และเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือจัดทำโครงการนำร่องในครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ภาคเอกชนอย่างกาแฟพันธุ์ไทยเห็นความสำคัญของการสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศ พร้อมส่งเสริมช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรให้กับหน่วยธุรกิจของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อร่วมกันสนับสนุนชุมชน สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่เกษตรกรไทย พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”
รศ. ดร.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเสริมว่า “ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ (ไร่สุวรรณ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้วิจัยคิดค้นพันธุ์ข้าวโพดหวาน ที่มีรสชาติ และคุณลักษณะทางการเกษตรที่ดี จนกระทั่งได้พันธุ์ข้าวโพดหวานอินทรี 2 ที่มีความหวานจากธรรมชาติโดยเฉลี่ย 14.5 องศาบริกซ์ มีรสชาติหวาน นุ่ม และหอม เมื่อมีการนำมาแปรรูปเป็นน้ำนมข้าวโพดจึงมีรสชาติที่หอมหวานไม่เหมือนใคร อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของไร่สุวรรณที่ได้ทำงานร่วมกับแบรนด์กาแฟพันธุ์ไทย พร้อมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ก้าวไปอีกขั้น เพื่อส่งมอบคุณค่าสู่ชุมชน เกษตรกร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป”
“กาแฟพันธุ์ไทย ได้ดำเนินธุรกิจก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 แล้ว และยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์เครื่องดื่มรสชาติดี ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพและหาทานได้ยากทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งหวังให้ชุมชนและเกษตรกรไทย ‘อยู่ดีมีสุข’ อย่างยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทยต่อไป โดยในช่วง ไตรมาส 3 ของปีนี้ เราจะสร้าง Brand Connection ด้วยการ Refresh แบรนด์ใหม่ให้มีความน่าสนใจ ต่อยอดแนวคิด ‘เวลาเป็นไท เวลาพันธุ์ไทย’ พร้อมเพิ่มการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและวัยทำงาน ด้วยจุดแข็งด้านคุณภาพสินค้าและบริการที่แตกต่างและตรงกับความต้องการของคนไทย สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม ทุกวัย รวมทั้งพัฒนารสชาติกาแฟให้โดนใจผู้บริโภค ส่งผลให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคัญของเราในช่วงปีที่ผ่านมา” นายพิทักษ์ กล่าว