UAC ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2 พันล้านบาทโตขึ้น 10-15% พร้อมอัดงบลงทุนปีนี้ที่ 300 ล้านบาท เพื่อเร่งพัฒนาโครงการในมือทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนภูผาม่าน จ.ขอนแก่น 3 เมกะวัตต์ คาด COD ในไตรมาส 3-4 ปีนี้ เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม หมายเลข L10/43 และ L11/43 สิ้นปี 66 แตะ 500 บาร์เรลต่อวัน และเดินเครื่องผลิต RDF ป้อนโรงปูนในลาว มิ.ย.นี้ ยอมรับไม่ผ่านการคัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ปี 2565-2573
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2566 เติบโต 10-15% จากปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ 20% ของยอดขาย มาจากธุรกิจเทรดดิ้ง และธุรกิจการผลิตพลังงาน
ปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 200-300 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนภูผาม่าน จ.ขอนแก่น กำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ ใช้เชื้อเพลิงหญ้าเนเปียร์ 300 ตันต่อวัน ทยอย COD ปีนี้ และบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนในโครงการนี้อีกประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อทำให้โรงไฟฟ้ามีความสมบูรณ์มากขึ้น จากที่ลงทุนก่อสร้างไปก่อนหน้านี้ประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 50 ล้านบาทเพื่อเปิดหลุมผลิตแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 ที่ จ.สุโขทัยจากปีก่อนที่เจาะหลุมผลิตแหล่ง L11/43 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากระดับ 300 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 500 บาร์เรลต่อวันในปลายปีนี้
โครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทน และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ที่นำกลับมาใช้ใหม่ที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งเฟสแรกเป็นโครงการบริหารจัดการขยะได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จ และได้มีการต่อยอดการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงจากขยะ หรือ RDF3 โดยเซ็นสัญญาขาย RDF ให้กับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในสปป.ลาว กำลังการผลิต 120 ตันต่อวัน คาดว่าจะสร้างเสร็จในเดือน พ.ค.นี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นการจำหน่ายเคมีอุปกรณ์ และเครื่องจักร โดยบริษัทเดินหน้าขยายฐานลูกค้าทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมและพลังงานเชิงรุก ทั้งลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2566 มาจากธุรกิจเทรดดิ้ง 65% และธุรกิจพลังงาน 35% แต่ในปี 2566 หากได้โครงการที่อินโดนีเซียมาเพิ่ม คาดว่าสัดส่วนรายได้ธุรกิจพลังงานจะขยับเพิ่มเป็น 50% โดยแม้ว่าธุรกิจพลังงานจะมีสัดส่วนรายได้น้อยกว่าเทรดดิ้ง แต่ในส่วนของมาร์จิ้นจะมากกว่า เพราะบริษัทได้ร่วมมือกับ บมจ.BBGI ในธุรกิจผลิตไบโอดีเซล ที่บางปะอิน โดยบริษัทถือหุ้น 30% ทำให้รับรู้กำไรจากส่วนนี้
นายชัชพลกล่าวว่า ตามที่ บริษัท ยูเอซี เอ็นเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ UAC ได้ยื่นประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ปี 2565-2573 จำนวน 6 โครงการ ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 14.25 เมกะวัตต์นั้น คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้ประกาศผู้ผ่านการคัดเลือกแล้วเมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่า UAC ไม่มีโครงการใดผ่านการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม บริษัทพร้อมนำโครงการเหล่านี้ยื่นประมูลอีกครั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ระยะที่ 2 ที่จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าราว 3,660 เมกะวัตต์ในอนาคต