ผู้จัดการรายวัน 360 - KSG “คิงสเตลล่า กรุ๊ป” ได้เวลาทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่สุดในรอบ 60 ปี ด้วยการควบรวม 3 บริษัทไว้ใต้ธงเดียวกัน สู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะแผนออกสู่ต่างประเทศ จากแผน 5 ปี (64-68) อัดงบสูงสุด 250 ล้านบาทลุย มั่นใจรายได้โตเป็นเท่าตัว มุ่งสู่ 2,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 1,000 ล้านบาท โตจากปีก่อนอีก 20%
นายชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด หรือ KSG เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 60 เพื่อต้องการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานให้กระชับ ประหยัดเวลา และสำคัญที่สุดต้องตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น จึงได้ควบรวม 3 บริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์เคมีคอล จำกัด, บริษัท แบรี่ริ่ง เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท คิงส์สเตลล่า แลบบอราทรี่ จำกัด เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน คือ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด หรือ KSG (KING'S STELLA GROUP Co., Ltd)
“KSG เริ่มต้นธุรกิจในสมัยคุณพ่อ เมื่อปี 2503 ด้วยการจัดตั้ง ห้างพิกุลทอง ขึ้นมา และใช้รถบัสในการออกขายสินค้าอุปโภคหลักๆ อย่าง กระดาษทิชชู และผงซักฟอก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มห้างร้าน ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ ในสมัยนั้น ทำให้เห็นโอกาสของตลาดสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งเวลานั้นต้องนำเข้า และเป็นที่ต้องการในสถานบันเทิงอย่างมาก จึงได้หันมาผลิตและจัดจำหน่ายสเปรย์ปรับอากาศ คิงสเตลล่า ตั้งแต่นั้น”
พร้อมขยายพอร์ตสินค้าใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันครอบคลุมใน 5 กลุ่ม คือ Air care, Car care, Home care, Pet care และ Personal care รวมแล้วมีสินค้าวางจำหน่ายกว่า 500 SKUs และกว่า 99.5% ผลิตเองทั้งหมด
นายชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีจากนี้ (2564-2568) ว่า จากความแข็งแกร่งที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงโอกาสของสินค้าในแต่ละกลุ่ม ส่งผลให้บริษัทมีการปรับตัวทรานส์ฟอร์มรวมบริษัท รวมไปถึงแผนการลงทุนครั้งใหญ่สุด ตามแผนงาน 5 ปี ด้วยการใช้งบลงทุนรวมทั้งหมดกว่า 250 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 50 ล้านบาท มุ่งออกสินค้าใหม่ พัฒนาสินค้า กระจายสินค้า และลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งสินค้าใหม่จะเน้นจับกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อยลงตั้งแต่ 25-34 ปี เน้นดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น
โดยงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาทจะโฟกัสในกลุ่ม Pet Care เพราะเป็นตลาดที่เติบโตสูงมาก ล่าสุดปีนี้ลงเครื่องจักรใหม่ 20 ล้านบาท สำหรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง อย่างกลุ่มสแนกระดับพรีเมียมให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดส่งออกนั้น ต้องการเพิ่มพอร์ตส่งออกจาก 15% เป็น 30% ให้ได้ โดยจะเน้นตลาดใหม่ๆ อย่าง เวียดนาม, อินเดีย, อินโดนีเซีย ทั้งในรูปแบบการหาพาร์ตเนอร์ กระจายสินค้า และการเข้าไปลงทุนเอง เป็นต้น มั่นใจว่าภายในปี 2568 ทาง KSG จะมีรายได้สูงถึง 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% หรือโตขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะปิดรายได้ที่ 1,000 ล้านบาท โตจากปีก่อนราว 20% ซึ่งกว่า 85% มาจากในประเทศ และต่างประเทศ 15%
“เดิมเรามีการส่งออกสินค้าทั้ง 5 กลุ่ม ผ่านดิสทริบิวเตอร์อยู่แล้วกว่า 13 ประเทศ ทั้งในอาเซียนและใกล้เคียง จากนี้จะเน้นเข้าไปลงทุน จัดตั้งบริษัท และทำการตลาดเองมากขึ้น เช่น เวียดนาม เน้นในกลุ่ม Pet care เพราะเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมาก ตามด้วยอินเดีย ภายในไตรมาสสองนี้จะเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่นั่น เน้นในกลุ่ม Pet care เช่นกัน และในช่วงไตรมาสสี่จะเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์ เน้นกลุ่ม Air care และ Car care ส่วนปีหน้าจะเป็นอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในตลาดซาอุดีอาระเบียด้วย”
นางวิลาสินี กิตติเกษมศักดิ์ รองประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ปี 2566 นี้บริษัทจะมีการออกสินค้าใหม่รวมทั้งหมดกว่า 60 SKU แบ่งเป็น Pet care 40%, Air care, Home care และ Personal Care 40% และ Car care 20% จากปัจจุบันรายได้หลักมาจาก 1. Air care มากกว่า 30% ยกตัวอย่าง เช่น สเปรย์ปรับอากาศ คิงส์สเตลล่า, เจลน้ำหอมปรับอากาศ หมีคิงส์ ตามมาด้วย 2. Pet care กับแบรนด์เรือธง BEARING Petcare เช่น แชมพูกำจัดเห็บ อาหารสุนัข และขนมแมวเลีย 3. Car care กับแบรนด์ WaxOne, Care pro เช่น ผลิตภัณฑ์แว็กซ์เคลือบเบาะหนัง น้ำยาเคลือบกระจก แชมพูล้างรถ 4. Home care เช่น น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างผัก และ 5. Pesonal care เช่น สบู่เหลวล้างมือ และแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น ทั้งนี้ อนาคตยังมีแผนที่จะเพิ่มในส่วนของคอสเมติกมาเสริมพอร์ต Personal care อีกส่วนหนึ่งด้วย