ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด (PFG) จับมือ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ร่วมทุนทางธุรกิจภายใต้ชื่อ “บริษัท เรมี่ เพ็ท (Remy Pet) จำกัด” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “REMY(เรมี่)” อาหารน้องหมาน้องแมวเพื่อสุขภาพ อัดเต็มแคมเปญการตลาดชุดใหญ่ ก่อนปล่อยตัวอาหารสำหรับน้องหมาช่วงกลางปี พุ่งเป้ากลุ่มสินค้าตลาดพรีเมียมในไทยกว่า 3,300 ล้านบาท พร้อมเตรียมแผนดันแบรนด์ ‘เรมี่’ สู่ระดับโลกภายในสามปี
นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการ กลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้เทรนด์ของธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงนั้นเติบโตในทุก Segment โดยแบ่งแนวโน้มของผู้บริโภคออกเป็นเทรนด์สำคัญคือ “Humanization” คือเทรนด์ที่อาหารคนและอาหารสัตว์เลี้ยงเริ่มมีการใช้คุณภาพของวัตถุดิบใกล้เคียงกันมากขึ้น มีคอนเซ็ปต์อาหารที่สอดคล้องไปกับเทรนด์อาหารของคน
ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมาตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมองมูลค่าตลาดของอาหารแมวที่มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านนั้นภาพรวมเติบโตกว่า 10% ซึ่งมูลค่าตลาดแบ่งเป็นอาหารเม็ดมีสัดส่วนกว่า 60% ตามมาด้วยอาหารเปียก 30% และขนมประมาณ 10%
ขณะที่สัดส่วนของอาหารสุนัข มีอัตราการเติบโต 6% แต่มูลค่ารวมของตลาดอาหารสุนัขนั้นสูงถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนเน้นไปทางด้านอาหารเม็ดประมาณ 60% ขนมหรือส่วนผสม 25% และอาหารเปียกประมาณ 15% (ข้อมูลจาก 2022, https://www.euromonitor.com/search?term=pet+food) โดยกว่า 3,300 ล้านบาท เป็นกลุ่มสินค้าในตลาดพรีเมียมของไทยที่ REMY สนใจ เพราะเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีความตั้งใจเลือกสิ่งที่ดีให้แก่สัตว์เลี้ยง มีการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ให้สัตว์เลี้ยง และยังให้ความสำคัญต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก
ดังนั้น ทางพัทยาฟู้ดจึงได้จับมือกับโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ รพ.สัตว์ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมทุนทางธุรกิจ ภายใต้ชื่อ “บริษัท เรมี่ เพ็ท (Remy Pet) จำกัด” เปิดตัวแบรนด์ใหม่ “REMY(เรมี่)”
ครั้งนี้เราออกสตาร์ทด้วยสินค้าอาหารแมว ซึ่งหลังจากงานเปิดตัวในครั้งนี้ก็จะพบกับกิจกรรมจาก REMY ได้ที่งาน Pet Expo 2023 และเตรียมแผนขยายตลาดไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสุนัข โดยทางแบรนด์วางแผนจะเตรียมออกจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าของตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน
ในส่วนของการขยายตลาดต่างประเทศ จะเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2566 โดยขยายจากเครือข่ายของบริษัทในเครือ PFG ที่มีอยู่ในประเทศเวียดนาม จีน และฝรั่งเศส หลังจากนั้นจึงขยายไปยังกลุ่มประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพอื่นๆ ต่อไป
สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ กล่าวว่า REMY เป็นการผสานความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านโภชนาการของทีมสัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการดูแลรักษาสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ซึ่งการให้ความสำคัญต่อสูตรอาหารและโภชนาการอาหารที่ดีเป็นหนึ่งในการดูแลที่สำคัญที่มีผลต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว และกลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด ผู้เชี่ยวชาญในการผลิตอาหารคุณภาพสูงมากว่า 40 ปี มีความชำนาญในการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม (Human Grade Ingredients) ตลอดจนกระบวนการวิจัย พัฒนา ควบคุมและทดสอบคุณภาพ ทำให้สามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์และมั่นใจว่าผ่านมาตรฐานทั้งด้านคุณภาพและรสชาติที่อร่อย ด้วยอุดมการณ์ร่วมกันที่ต้องการจะทำสิ่งดีๆ มีคุณภาพให้แก่สัตว์เลี้ยง จึงเป็นที่มาของการร่วมทุนในครั้งนี้
นายฐิติพงษ์ จิรอัศวกุล ผู้จัดการทั่วไปของ บริษัท เรมี่ เพ็ท (Remy Pet) จำกัด กล่าวเสริมว่า “REMY ให้ความสำคัญต่อความสมดุลของรสชาติที่อร่อยและสุขภาพที่ดีของน้องหมาน้องแมว พัฒนาสูตรร่วมกับสัตวแพทย์ ใช้วัตถุดิบคุณภาพพรีเมียมเกรดเดียวกับวัตถุดิบที่ผลิตให้กับอาหารคนและมีมาตรฐานสากลรับรองคุณภาพ ปราศจากสารปรุงแต่งรส ผ่านการวิจัยและพัฒนาสูตร จากทีมนักวิจัย และนักโภชนาการสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โดยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย 1. ขนมมูสแมวเลีย สูตรแคลอรีต่ำ(Low Cal Tuna Mousse) มี 3 สูตรแรกคือ สูตรเสริมภูมิคุ้มกัน X2 จาก แอล-ไลซีนและเบตากลูเคน, สูตรเสริมระบบย่อยอาหาร และสูตรเสริมกระดูกและข้อ
2. อาหารแมว สูตรเสริมสุขภาพ โดยอาหาร 3 สูตรแรกที่จะออกในปีนี้ คือ อาหารแมวรสปลาทูน่าในน้ำเกรวี หน้าปลาโอสไลซ์ สูตรต้านอนุมูลอิสระ, หน้าเนื้อไก่ สูตรส่งเสริมระบบย่อยอาหาร และอาหารแมวเปียกรสปลาทูน่าในเนื้อเยลลี สูตรบำรุงผิวและขน และ 3. อาหารสุนัข สูตรเสริมสุขภาพ วางแผนจะเตรียมออกจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนมิถุนายน 2566
ส่วนแผนในการเปิดตลาดของ REMY ครั้งนี้ เราพร้อมมากสำหรับการลงสนาม โดยจัดเต็มทุกพื้นที่ด้วยช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย เช่น ร้านค้าในโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อทั้ง 16 สาขา, ร้าน All About Pet โรงพยาบาลสัตว์เล็ก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร้านอาหารสัตว์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนช่องทาง E-commerce และช่องทางที่กลุ่มลูกค้าคุ้นเคยอย่าง Line OA และ Facebook ที่จะสามารถดูแลลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
