เอ็กโก กรุ๊ปเร่งขยายโอกาสการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ ลุ้นประกาศผู้ชนะโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ FiT ของภาครัฐ หลังผ่านการพิจารณา 16 โครงการกว่า 300 เมกะวัตต์ แจงปี 65 กำไรวูบ 35% มาอยู่ที่ 2,683 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ฝ่าด่านวิกฤตราคาพลังงานโลก ปิดบัญชีปี 2565 รับรู้รายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 บอร์ดไฟเขียวนำเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น รวมปันผลทั้งปี 6.50 บาท/หุ้น ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจมั่นคงและนโยบายจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานในปี 2566 ว่าบริษัทมุ่งต่อยอดความสำเร็จและแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดและโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีความจำเป็นในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของพลังงาน รวมทั้งพลังงานทางเลือกอื่น เช่น ไฮโดรเจน ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดคาร์บอน
นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ยื่นข้อเสนอในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแบบ FiT ของภาครัฐ โดยผ่านการพิจารณาเบื้องต้น 16 โครงการ ทั้งประเภทโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) รวมกำลังผลิตกว่า 300 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2567
สำหรับผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 65,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 55% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 11,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพาจู อีเอส เกาหลีใต้ “ไซยะบุรี” สปป.ลาว “ซานบัวนาเวนทูรา” ฟิลิปปินส์ “ขนอม” จ.นครศรีธรรมราช และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,683 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 สาเหตุมาจากการรับรู้การด้อยค่าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทยและโรงไฟฟ้าในฟิลิปปินส์ และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ ได้แก่ การรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนของโรงไฟฟ้าสตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ และการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการหยุนหลิน
สำหรับโครงการ “หยุนหลิน” เอ็กโก กรุ๊ป และพันธมิตรเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งเป็นการก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด การรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการนี้เกิดจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติและอยู่เหนือการควบคุม โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากไต้หวันมีมาตรการเข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศถึง 2 ครั้งในช่วงปี 2563-2565 ทำให้กระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เครื่องมือในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงพื้นที่ก่อสร้างบริเวณช่องแคบไต้หวัน มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุม โดยในแต่ละปีมีระยะเวลาทำงานหลักจำกัดเพียง 6 เดือนเท่านั้น ส่งผลให้กำหนดแล้วเสร็จของโครงการจำเป็นต้องขยายออกไปจนถึงปี 2567 โดยบริษัทยังมีสภาพคล่องสูงในการลงทุนโครงการอื่น ๆ และมีกระแสเงินสดสำหรับการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากพอร์ตโฟลิโอที่มีการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ทำให้บริษัทมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 (AGM) ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 15 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2566 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2566 หากรวมการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 คิดเป็นทั้งหมด 6.50 บาท/หุ้น
“ในปี 2565 อุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานต้องเผชิญกับความท้าทายจากราคาพลังงานโลกและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ผลประกอบการในปี 2565 ของเอ็กโก กรุ๊ป สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตการณ์ราคาพลังงานปี 2565 ได้ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงและภาวะเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ รายได้และกำไรจากการดำเนินงานยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะเดียวกันยังสามารถขยายการลงทุนในพลังงานสะอาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป ในปี 2565 ได้แก่ การเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว กำลังผลิตรวม 650 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นเพิ่ม 10% เพื่อถือหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า “ชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนา วินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ การซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้า “ไรเซ็ก” สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 609 เมกะวัตต์ และการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า “สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่” อินโดนีเซีย นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งในและต่างประเทศ ลงนาม MOU ศึกษาและพัฒนาแผนงานด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในโรงไฟฟ้าของเอ็กโก กรุ๊ป