รฟม.โต้ "สุรเชษฐ" ยันประมูล "สีส้ม" พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 62 เผยล่าสุดศาลปค.สูงสุดเห็นควรยกฟ้อง BTSC ฟ้องยกเลิกประมูลครั้งแรกมิชอบ เตรียมสรุปเสนอ รมว.คมนาคม และ ครม.เห็นชอบผลประมูล ขณะที่เจรจาผู้ชนะรัฐได้ประโยชน์เพิ่มอีกกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
จากกรณีที่ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ได้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2566 ซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการคัดเลือกเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) นั้น
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ประเด็นความชอบในการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินข้อเสนอในการคัดเลือกเอกชนครั้งที่ 1 บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ได้ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 2280/2563 โดยแยกเป็น 2 ข้อหา ดังนี้ 1. ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 300/2564 (ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีในข้อหาที่ BTSC ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนฯ ที่แก้ไขเพิ่มเติมและการเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 คดีถึงที่สุด โดยศาลปกครองสูงสุดให้จำหน่ายคดี
2. ข้อหาที่ BTSC ฟ้องว่าการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ฯ เป็นการละเมิด เรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 5 แสนบาท ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 192/2565 พิพากษายกฟ้อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากคู่ความได้ยื่นอุทธรณ์
ประเด็นเรื่องคำวินิจฉัยที่พรรคก้าวไกลกล่าวอ้างว่าศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยว่าการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคัดเลือกเป็นการกระทำที่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ซึ่งมีการอุทธรณ์ และเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ศาลปกครองสูงสุดได้นั่งพิจารณาคดีครั้งแรก โดยตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นว่าคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม.ดำเนินการแก้ไขเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวไม่จำต้องรับฟังความเห็นของเอกชนใหม่ และไม่ทำให้ BTSC ได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการละเมิดต่อ BTSC แต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษา
@ล่าสุดศาล ปค.สูงสุดยกฟ้องคดียกเลิกประมูลครั้งแรกมิชอบ
สำหรับประเด็นการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนครั้งแรกนั้น BTSC ฟ้อง รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 580/2564 ล่าสุดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ตุลาการผู้แถลงคดี ศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงสรุปว่า การยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ ครั้งแรกชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว เนื่องจากเหตุผลโดยสรุปดังนี้
1. คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีอำนาจยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
2. การใช้ดุลพินิจยกเลิกการคัดเลือก เป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อให้โครงการสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ตามกรอบระยะเวลา อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชนในการจัดทำบริการสาธารณะแล้ว ดังนั้น เมื่อการยกเลิกการคัดเลือกชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ตุลาการผู้แถลงคดีจึงเห็นควรพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น โดยเห็นควรให้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษา
@ฟ้องประมูลใหม่ กีดกัน BTSC ศาลยกคำร้องคุ้มครอง
สำหรับประเด็นกีดกันไม่ให้เข้าร่วมการประมูลฯ ครั้งใหม่ BTSC ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1646/2565 นั้น ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2565 ยกคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ตามที่ BTSC ร้องขอ โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการ ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุปว่า
1. การรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนและประกาศเชิญชวนฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้กำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการ PPP เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน พ.ศ. 2563
2. ประกาศเชิญชวนฯ ได้กำหนดคุณสมบัติให้มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างงานโยธา ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2562
3. ประกาศเชิญชวนฯ มีการเปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วมในการคัดเลือกมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นกว่าประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563
4. ประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นการตัดสิทธิหรือกีดกัน BTSC มิให้เข้าร่วมยื่นข้อเสนอ จึงรับฟังไม่ได้ว่าประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวเป็นคำสั่งศาลปกครองทั่วไปที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจถือได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถหาผู้รับจ้างงานโยธาเพื่อจัดเตรียมข้อเสนอให้ทันภายในกำหนดเวลาเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงของบริษัท BTSC ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลังอันเกิดจากประกาศเชิญชวนฯ ที่พิพาท ประกอบกับหากมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาย่อมจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่บริการสาธารณะของ รฟม. ซึ่ง BTSC สามารถยื่นข้อเสนอได้เช่นเดียวกับเอกชนรายอื่นๆ
ประเด็นการพิจารณาคุณสมบัติของ ITD Group ซึ่งยื่นประมูลในครั้งใหม่นั้น ผู้ว่าฯรฟม.กล่าวว่า ตามประกาศคณะกรรมการ PPP เรื่อง ลักษณะของเอกชนที่ไม่สมควรให้ร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2562 กำหนดว่า เอกชนที่มีกรรมการต้องโทษจำคุกไม่มีสิทธิได้รับคัดเลือกเป็นคู่สัญญาในโครงการร่วมลงทุนฯ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินการ คณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงมีข้อสรุปว่า เมื่อได้ผู้ผ่านการคัดเลือกแล้ว หากพบว่ามีข้อสงสัยในประเด็นตามประกาศฯ ดังกล่าว จะสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งเป็นเลขาฯคณะกรรมการ PPP แต่ทั้งนี้ เมื่อ ITD Group มีสถานะเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ และไม่ได้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกฯ จึงไม่ต้องดำเนินการใดๆ
@ชี้ BTSC เสนอผลตอบแทนสูง แต่ไม่ผ่านการประเมินตามขั้นตอนและเปิดซองราคาเอง จึงใช้เปรียบเทียบไม่ได้
ส่วนประเด็นส่วนต่างข้อเสนอ 68,613 ล้านบาท ซึ่ง BTSC เปิดซองข้อเสนอด้วยตนเองในสำนักงานของ BTSC และนำมาเปรียบเทียบกับข้อเสนอของผู้ชนะการคัดเลือกครั้งใหม่ กรณีนี้ แม้ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนของ BTSC ตามที่เป็นข่าวออกมา จะมีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ค่อนข้างสูง แต่ในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน จะต้องมีการประเมินซองข้อเสนออื่นๆ ด้วย ทั้งการประเมินซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และซองข้อเสนอด้านเทคนิค ข้อเสนอทางการเงิน ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาตามลำดับ เพื่อให้มั่นใจว่ามีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะเกิดต่อประเทศชาติและประชาชนได้จริง มิใช่การพิจารณาเพียงตัวเลขสรุปผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐเท่านั้น
นอกจากนี้ การที่ BTSC เปิดราคาของตัวเอง จึงไม่สามารถนำข้อเสนอดังกล่าวมาเปรียบเทียบได้ เพราะไม่ทราบว่าข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และด้านเทคนิคของบริษัทฯ จะผ่านเกณฑ์การพิจารณาหรือไม่ รวมทั้งข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนมีความเป็นไปได้ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือเพียงใด จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าข้อเสนอของ BTSC จะเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐจริง
@เจรจาผู้ชนะ รัฐได้ประโยชน์เพิ่มอีกกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การศึกษาโครงการไม่มีการเอื้อกลุ่มทุนใดๆ รฟม.ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์โครงการโดยใช้สมมติฐานทางการเงินตาม MRT Assessment Standardization ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ศึกษาและแนะนำให้ใช้เป็นแนวทางเดียวกับทุกโครงการที่ รฟม. ดำเนินการมา มิได้เป็นการอุปโลกน์ข้อมูลขึ้นมา นอกจากนี้ ในขั้นตอนการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้มีการพิจารณาประเด็นต่างๆ อย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุด ซึ่งทำให้รัฐได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นจากเดิมมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท
ส่วนคดีหมายเลขดำที่ อท30/2564 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าผู้ว่าการ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้แก้ไขหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2562 และเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ PPP การแก้ไขหลักเกณฑ์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐ ไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ยื่นข้อเสนอรายใด และกรณีที่มีการยกเลิกประมูล ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์หรือกระทำนอกขอบเขตของกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ผู้ว่าฯ รฟม.กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดำเนินการประกาศเชิญชวนฯ และคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และ รฟม.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในมาตรา 35 ถึงมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ. 2562 และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาร่วมลงทุนตามมาตรา 41 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้ รฟม.รอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ BTSC เป็นผู้ฟ้องคดี เพื่อนำมาประกอบเรื่องเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัด และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ ตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พ.ศ. 2562 ต่อไป