ผู้จัดการรายวัน 360 - Scoozi Pizza แบรนด์พิซซา พลิกโฉมครั้งใหญ่บุกตลาดพรีเมียมแมส เร่งเครื่องขยาย 5 สาขา เจาะลูกค้ากลุ่มครอบครัว คนทำงาน และคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผุดโมเดลแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศกว่า 200 สาขา เช่น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ใน 5 ปี กรุยทางสู่ “Leading Urban Pizza Brand” คาดเริ่มขายแฟรนไชส์ในไตรมาส 3 ปีนี้
มร.แกรี่ เมอร์เรย์ (Mr.Gary Murray) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง เดสติเนชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า พิซซาถือเป็นเมนูยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก มีการบริโภคพิซซาจำนวนกว่า 5,000 ล้านชิ้นต่อวัน นับเพียงเฉพาะในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1,500 ล้านบาทต่อปีและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ปัจจุบันวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่นิยมรับประทานพิซซามากกว่าแต่ก่อน ทำให้แนวโน้มการเติบโตในอุตสาหกรรมอาหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 30% ในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2571
"Destination Eats เข้าซื้อ Scoozi Pizza ในปี 2563 โดยเป็นเจ้าของและผู้ประกอบการแบรนด์ดังหลายแห่งทั่วประเทศ ทั้ง Hard Rock Café, Hooters Restaurants และ Big Boy Burgers เป็นต้น พร้อมพลิกโฉม Scoozi Pizzaใหม่ ตั้งแต่การปรับปรุงเมนู ตกแต่งร้าน และยกระดับคุณภาพพิซซา ปัจจุบันลูกค้าชาวไทยต่างมองหาพิซซาอิตาเลียนระดับพรีเมียมแบบดั้งเดิม ใช้วัตถุดิบสดใหม่และมีคุณภาพสูง ราคาขายพิซซาต่อชิ้นอยู่ระหว่าง 400-590 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ลูกค้ายินดีจ่าย และวางตำแหน่งทางการตลาดไว้ในระดับบน เพื่อสามารถทำกำไรให้ธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น" มร.แกรี่ เมอร์เรย์กล่าว
นางสาวอังคณา นิลกำเหนิด รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจแฟรนไชส์ Scoozi เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทรนด์การกินพิซซาเปลี่ยนไป ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มมองหาพิซซาที่ใช้วัตถุดิบจากประเทศต้นตำรับและขึ้นแป้งแบบสด ไม่ใช่พิซซาจากแป้งแช่แข็งมากขึ้น ซึ่งตรงกับ DNA ของ Scoozi Pizza ซึ่งให้บริการในรูปแบบ Lifestyle Casual Dinning ซึ่งแตกต่างจากร้านพิซซา QSR (Quick Service Restaurant) ทั่วไปในตลาด
ในช่วงโควิดที่ผ่านมา Scoozi Pizza ได้ปรับตัวโดยสร้าง Ghost Kitchen เพื่อรองรับการสั่งอาหารแบบดีลิเวอรีผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง Grab, Line Man, Food Panda, Robinhood และ Shopee รวมทั้งพัฒนาเมนูและจัดทำโปรโมชันต่างๆ ร่วมกันเพื่อดึงดูดลูกค้าและสามารถสร้างยอดขายได้ดี
ปี 2566 บริษัทมีแผนรุกตลาดพิซซาอย่างเข้มข้น เพื่อก้าวขึ้นเป็น “Leading Urban Pizza Brand” โดยปรับโฉม Scoozi Pizza เพื่อรุกตลาดพรีเมียมแมสมากขึ้น รวมทั้งขยายสาขาเพิ่ม 5 สาขา จากปัจจุบันมี 7 สาขา ประกอบด้วย ซอยสาธงทร 10, เอ็มควอเทียร์ Helix ชั้น 6, เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ชั้น 5 เอกมัย ซอย 19 มาร์เก็ตวิลเลจหัวหิน ชั้น 2, เทอร์มินอล 21 พัทยา และสาขาล่าสุด ภูเก็ต นอกจากนี้ Scoozi ยังมี “Scoozi ghost kitchen” เพื่อรองรับการให้บริการดีลิเวอรีอีก 4 สาขา คือ ลาดพร้าว, อารีย์, อ่อนนุช และอโศก โดยสามารถสั่งผ่านแอปฯ ดีลิเวอรีได้ ทั้ง Grab, Line Man, Food Panda, Robinhood, Shopee
โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ยังคงกลุ่มครอบครัวที่ผู้ปกครองมีอายุ 35 ปีขึ้นไป รู้จักและหลงรักแบรนด์ Scoozi ในอดีต ไปจนถึงนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย กลุ่มคนทำงาน และชาวต่างชาติในประเทศไทยทั้งนักท่องเที่ยวและอยู่ระยะยาว (Expat)
ทั้งนี้ Scoozi Pizza เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงและเป็นที่รู้จักอย่างดีในประเทศไทยมากว่า 27 ปี อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีแผนการทำตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อรุกเข้ามาในตลาด Premium mass pizza ภายใต้ 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1. Digital Marketing 2. การสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าในการได้ลิ้มลองรสชาติพิซซาที่ไม่เคยได้จากที่อื่นและอร่อยเกินคาด (Experience Marketing) และ 3. ชูนวัตกรรมการวิจัยและพัฒนา (R&D) สินค้าที่มีคุณภาพ (Innovative Product)
“พิซซาของเราผ่านการปรุงโดยพ่อครัวที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเมืองไทยมากว่า 30 ปี เน้นความเป็นต้นตำรับ ปรุงใหม่สดทุกวัน ไม่ใช้แป้งแช่แข็งและใช้ส่วนผสมของแท้ต้นตำรับ โดยแป้งสั่งมาจากอิตาลี และซอสแบบดั้งเดิมจากเขต San Marzano เพื่อรังสรรค์พิซซาและพาสตาอร่อยๆ ที่มีการดัดแปลงสูตรเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับรสนิยมคนไทย และใช้ Special Pizza Fired oven ในการอบพิซซาจะได้ความหอมของแป้งและชีสที่หอมอบอวลในปากกว่าการอบจากเตาทั่วไป และในส่วนของร้านออกแบบให้นั่งสบายๆ สามารถมาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศที่สนุกสนาน ทำให้ Scoozi มีศักยภาพในการแข่งขันสูงมาก”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเพิ่มบิสิเนสโมเดลใหม่ ขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเน้นทำเลศักยภาพ ในห้างสรรพสินค้า, คอมมูนิตีมอลล์, Stand alone และ อาคารสำนักงาน เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าโมเดลแฟรนไชส์ 200 สาขาใน 5 ปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะเริ่มขายแฟรนไชส์ในประเทศ ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งมีงบประมาณการลงทุนราว 3-4 ล้านบาทต่อสาขา ใช้ระยะเวลาคืนทุน 2-3 ปี
“บริษัทมีความพร้อมในการขยายแฟรนไชส์เป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการออกแบบและตกแต่งร้านจากทีมงานที่มีความชำนาญในการสร้างร้านอาหาร, ระบบการเทรนนิ่งที่สามารถทำให้พนักงานของแฟรนไชส์มีความชำนาญและพร้อมในการเปิดร้าน, ระบบการขายหน้าร้าน หรือ Point of sale system (POS) ที่สามารถตรวจสอบและควบคุมได้ รวมทั้งมีที่ปรึกษาหลังการเปิดร้าน และทีมงานที่เข้าตรวจสอบควบคุมมาตรฐานของร้าน