กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกางแผนเจรจา FTA ปี 66 ตั้งเป้านับหนึ่งเปิดเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) เคลียร์ FTA คงค้างกับเอฟตา แคนาดา ตุรกี และศรีลังกา ให้จบภายในปี 67 และศึกษาประโยชน์และผลกระทบการทำ FTA กับคู่ค้าใหม่ ทั้งกลุ่ม GCC พันธมิตรแปซิฟิก และกลุ่มประเทศแอฟริกา
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยในปี 2566 ว่า กรมฯ มีแผนการเจรจา FTA ทั้งเปิดเจรจา FTA กับคู่ค้ารายใหม่ เร่งสรุปผลการเจรจา FTA ที่คงค้างกับคู่เจรจาเดิม และศึกษาประโยชน์และผลกระทบของการทำ FTA กับคู่ค้าใหม่ เพื่อมุ่งหาตลาดใหม่ ขยายโอกาสทางการค้าให้แก่ไทย และตั้งเป้าให้ FTA เป็นกลไกเพิ่มสัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับคู่ FTA จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 63% เพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2570
โดยการเปิดเจรจา FTA ใหม่จะให้ความสำคัญต่อการเปิดเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) โดยเร็ว หลังจากที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พบหารือกับนายวัลดิส ดอมบรอฟสกิส รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปด้านเศรษฐกิจและกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา และทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายจะเปิดเจรจา FTA ไทย-อียู โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ รวมถึงเห็นชอบกรอบเจรจา FTA ไทย-อียู ซึ่งผ่านการหารือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อให้ไทยสามารถเปิดเจรจา FTA กับอียูภายในไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับการเจรจา FTA คงค้าง จะเร่งเจรจา 4 ฉบับ คือ เอฟตา (ประกอบด้วย 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) แคนาดา ตุรกี และศรีลังกา ให้จบโดยเร็วภายในปี 2567 โดยวางแผนจัดการประชุมทุก 2-3 เดือน เพื่อให้การเจรจาคืบหน้าและสรุปผลได้ตามกำหนด
ส่วนการเจรจา FTA กรอบใหม่ๆ จะเร่งศึกษาประโยชน์และผลกระทบของการทำ FTA กับคู่ค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคณะมนตรีความร่วมมือรัฐประเทศอ่าวอาหรับ หรือ GCC (ประกอบด้วย 6 ประเทศ คือ บาห์เรน คูเวต โอมาน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) กลุ่มพันธมิตรแปซิฟิก หรือ Pacific Alliance (ประกอบด้วย 4 ประเทศ คือ ชิลี โคลอมเบีย เม็กซิโก และเปรู) และกลุ่มประเทศแอฟริกา 55 ประเทศ เพื่อหาตลาดใหม่ที่จะช่วยขยายโอกาสการค้าไทยตามข้อเรียกร้องของภาคเอกชนผ่านที่ประชุม กรอ.พาณิชย์
“การเจรจา FTA ไทย-อียู เป็นเป้าหมายอันดับต้นในปีนี้ เพราะอียูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับอียูมีมูลค่า 41,038.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 2.9% คิดเป็นสัดส่วน 7% ของการค้าไทยกับโลก ส่วนกลุ่ม GCC มีมูลค่ากับไทย 39,618.52 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6.71% ของการค้าไทยกับโลก ส่วนกลุ่มพันธมิตรแปซิฟิกอยู่ที่ 6,239.99 ล้านเหรียญสหรัฐ และกลุ่มประเทศแอฟริกา 55 ประเทศอยู่ที่ 2,831.50 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากเพิ่มได้จะช่วยเพิ่มสัดส่วนการค้าของไทยกับคู่ FTA ได้เพิ่มขึ้น” นางอรมนกล่าว
ปัจจุบันไทยมี FTA รวม 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เปรู ชิลี และฮ่องกง โดยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทย ในปี 2565 การค้าของไทยกับ 18 ประเทศ FTA มีมูลค่า 359,542.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (12,542,911.58 ล้านบาท) เพิ่ม 5.1% โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่ FTA มูลค่า 171,789 ล้านเหรียญสหรัฐ (5,951,350.69 ล้านบาท) และนำเข้าจากประเทศคู่ FTA มูลค่า 187,753.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (6,591,560.89 ล้านบาท) โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่นๆ และเศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น