กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) แนะผู้ประกอบการไทยร่วมมือกับสตาร์ทอัพของอินเดีย เพื่อเป็นพันธมิตรในการบุกเบิกตลาดร่วมกัน หลังปัจจุบันสตาร์ทอัพอินเดียมีการเติบโตสูงมาก และยังมีการเปิดตัวในเมืองรองต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เผยอุตสาหกรรมเครื่องเทศและสมุนไพรมีโอกาสในรัฐเกรละ เคมีภัณฑ์และวัสดุชีวภาพ รัฐมัธยประเทศ ยาและโภชนเภสัช รัฐกัว และอิเล็กทรอนิกส์และไอที รัฐกรณาฏกะ
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้กรมฯ เร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกและขยายตลาดการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศต่างๆ ล่าสุดได้รับรายงานจาก น.ส.สุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย ถึงโอกาสในการร่วมมือกับสตาร์ทอัพของอินเดีย เพื่อเป็นพันธมิตรในการบุกเบิกตลาดร่วมกัน โดยเฉพาะการเจาะตลาดเมืองรองของอินเดีย ที่กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กรมฯ ได้รับแจ้งข้อมูลจากทูตพาณิชย์มุมไบว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจของอินเดีย นอกจากจะขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านประชากรและการบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังมีการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพที่รัฐบาลอินเดียพยายามสร้างให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว โดยพบว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (2557-2565) อินเดียมีจำนวนสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้นมากจาก 400 รายเป็น 70,000 ราย และยังมีแนวโน้มเกิดสตาร์ทอัพรายใหม่ในเมืองรองต่างๆ ของอินเดียเพิ่มมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน พบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 การระดมทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในอินเดียยังกระจุกตัวอยู่ในสามเมืองหลัก ได้แก่ บังกาลอร์ นิวเดลี และมุมไบ ในสัดส่วนประมาณ 78% ของการลงทุนทั้งหมด ตามมาด้วยเมืองใหญ่อย่างเชนไน ไฮเดอราบาด ปูเน และเมืองรองในรัฐต่างๆ เช่น รัฐเกรละ และรัฐมัธยประเทศ ที่รัฐบาลเร่งผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพด้วยมาตรการเชิงรุก
นอกจากนี้ ทูตพาณิชย์ยังรายงานอีกว่า ล่าสุดรัฐบาลได้สนับสนุนการจัดงานรวมตัวของสตาร์ทอัพและหน่วยงานสนับสนุนต่างๆ (Ecosystem) ภายใต้ชื่องาน Huddle Global 2022 เมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ที่เมืองธิรูวานันทปุรัม รัฐเกรละ โดยภายในงานมีการเสวนาเกี่ยวกับการดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนเพื่อขยายกิจการของสตาร์ทอัพอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันมีหลายประเทศให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการผลิต แต่มีเงินลงทุนจำนวนมาก เช่น ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง และทวีปยุโรปบางประเทศ เช่น อิสราเอล ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์
ส่วนรัฐมัธยประเทศ พบว่าเป็นอีกรัฐหนึ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพเพื่อการยกระดับการผลิตให้สามารถลดการนำเข้าและพึ่งพาตนเองตามนโยบายอินเดียพึ่งตนเอง (Self-reliant India / AtmaNirbhar Madhya Pradesh) โดยรัฐบาลของมัธยประเทศได้จัดตั้งเครือข่ายสตาร์ทอัพ (Startup Conclave) และศูนย์ Start-up Centre เพื่อเป็นหน่วยศึกษาหาช่องว่างในตลาด ทดลองตลาดให้สินค้าต้นแบบ ให้คำปรึกษาเตรียมความพร้อม และประสานเชื่อมโยงกับตลาดและผู้ร่วมลงทุนทั้งในและนอกประเทศ โดยล่าสุดมีแผนจะจัดงานเสวนา Invest Madhya Pradesh-Global Investors Summit 2023 เพื่อนำเสนอสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลของมัธยประเทศได้ออกมาตรการสนับสนุนด้วย เช่น การอุดหนุนค่าจ้างพนักงานของสตาร์ทอัพไม่เกินคนละ 2,500 บาท และไม่เกิน 25 คน การอุดหนุนค่าเช่าสำนักงาน/โรงงาน การยกเว้นค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนต่างๆ รวมถึงเงินทุนในระยะเริ่มต้น (Seed Fund / Early-stage Fund)
“จากการเติบโตของสตาร์ทอัพในอินเดียดังกล่าว ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่มีความพร้อม โดยควรพิจารณาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพในอินเดีย เพื่อเป็นพันธมิตรในการบุกเบิกตลาดร่วมกัน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าขั้นกลางจากไทยที่สามารถนำไปต่อยอดหรือพัฒนาอุตสาหกรรมในอินเดียได้ จะมีแนวโน้มที่รัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุน เนื่องจากสามารถสร้างงานในอินเดียได้ด้วย โดยในแต่ละรัฐของอินเดียจะมีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน เช่น อุตสาหกรรมเครื่องเทศและสมุนไพรในรัฐเกรละ เคมีภัณฑ์และวัสดุชีวภาพในรัฐมัธยประเทศ ยาและโภชนเภสัชในรัฐกัว และอิเล็กทรอนิกส์และไอทีในรัฐกรณาฏกะ เป็นต้น โดยในแต่ละรัฐจะมีสถาบันเฉพาะทางในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งจะเป็นแกนกลางในการพัฒนาและเชื่อมโยงสตาร์ทอัพอินเดียกับหน่วยงานสนับสนุนต่างๆ รวมถึงผู้ร่วมลงทุนจากต่างประเทศ” นายภูสิตกล่าว