ปตท.กำไรไตรมาส 3/65 วูบ 62.4% อยู่ที่ 8,884.15 ล้านบาท มาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลดำเนินงานปรับตัวลดลง และขาดทุนสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท.เพิ่มขึ้นประมาณ 36,000 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 9% เผยกลุ่ม ปตท. นำเงินส่งรัฐกว่า 64,461 ล้านบาท พร้อมช่วยเหลือต้นทุนค่าพลังงานต่อเนื่อง
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 8,884.15 ล้านบาท ลดลง 62.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 23,652.83 ล้านบาท ตาม EBITDA ที่ลดลง และมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมียอดขาย 884,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดขาย 558,888 ล้านบาท
โดยไตรมาส 3/2565 ปตท.มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 92,277 ล้านบาท ลดลง 16.5% จากไตรมาส 3 ปี 2564 เนื่องจากกลุ่มธุรกิจธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ท้ังสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง และปริมาณขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงปิโตรเคมีในไตรมาส 3/2565 รวมทั้งธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลง จากขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ขาดทุนสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. เพิ่มขึ้นประมาณ 36,000 ล้านบาทตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 3 นี้ แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น และธุรกิจการกลั่นมีปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ และธุรกิจ NGV ซึ่งมีต้นทุนค่าเนื้อ ก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นมาก ตามราคา Pool Gas ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณและราคา LNG นำเข้าที่สูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ย และปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 3 นี้มีการรับรู้ขาดทุนจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิภาษีตามสัดส่วนของ ปตท.เพิ่มขึ้น โดยหลักจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่ถือไว้ เพื่อขายจาก PTTEP Brazil Investments in Oil and Gas Exploration and Production Limitada (PTTEP BL) ของ ปตท.สผ. ประมาณ 2,300 ล้านบาท และการจ่ายเงินสนับสนุนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงสถานการณ์วิกฤตในเดือนกันยายน 2565 จำนวน 1,000 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 3 เดือน
นายอรรถพลกล่าวว่า สำหรับงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 73,302.85 ล้านบาท ลดลง 9.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 80,819.11 ล้านบาท โดยหลักมาจากการขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ภาษี เงินได้ และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่มีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่ถือไว้ เพื่อขาย PTTEP BL ของ PTTEP และการจ่ายเงินสนับสนุนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงสถานการณ์วิกฤตในเดือนกันยายน 2565 จำนวน 1,000 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 3 เดือน
ทั้งนี้ กำไรสุทธิงวด 9 เดือนจำนวน 73,302.85 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 13% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นมาก และอีก 87% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 49% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและบริษัทย่อยอื่นๆ 24% ธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 11% สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีสัดส่วนเพียง 3% โดยผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
งวด 9 เดือนแรกปีนี้ ปตท.มียอดขาย 2,570,029 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 63.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี EBITDA ประมาณ 417,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91,061 ล้านบาทหรือราว 27.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมาจากกลุ่มสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันจากธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ที่เพิ่มขึ้นแม้ว่ากำไรสต๊อกน้ำมันลดลง ทั้งนี้ กำไรสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท.ลดลงประมาณ 17,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 3/2565 ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลง และปริมาณขายที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงาน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ปตท.มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 23,494 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท.และบริษัทในเครือ (9 เดือนแรกของปี 2565) อีกประมาณ 40,967 ล้านบาท รวมกลุ่ม ปตท.นำส่งรายได้เข้ารัฐปี 2565 แล้ว 64,461 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรของ ปตท.ภายหลังการจ่ายเงินปันผลให้แก่รัฐและผู้ถือหุ้น จะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ที่สำคัญ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคม โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ราคาพลังงานปรับตัวสูง (ปี 2564-2565) ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ปตท.ร่วมแบ่งเบาภาระต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานกว่า 23,800 ล้านบาท รวมทั้งดูแลสังคมจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกัน กลุ่ม ปตท.ให้บริการตรวจคัดกรองเชื้อโควิดรวมงบประมาณ 1,046 ล้านบาท โครงการลมหายใจเพื่อน้อง ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษาและจัดตั้งกองทุน จำนวน 171 ล้านบาท และโครงการลมหายใจเพื่อเมือง สนับสนุนเป้าหมายของกรุงเทพมหานคร ในการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว นอกจากนั้น ปตท. ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 พร้อมกันนี้ กลุ่ม ปตท.ยังมุ่งปลูกป่าเพิ่มเติมรวม 2 ล้านไร่ ภายในปี ค.ศ. 2030 แบ่งเป็นการดำเนินการโดย ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ สร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยอย่างต่อเนื่อง