SCC ชี้แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีในไตรมาส 4/65 เริ่มฟื้นตัว หลังราคาพลังงานคงที่ และผู้ประกอบการแห่ลดกำลังการผลิต ดันสเปรดมาร์จิ้นขยับสูงขึ้น พร้อมเร่งโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ LSP ในเวียดนาม เดินเครื่องไตรมาส 2/66 เป็นจังหวะเหมาะสม หลังประเมินกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ในปี 67 เริ่มลดลง
นายทศทิศ อาทรธรรมรัตน์ นักลงทุนสัมพันธ์และผู้จัดการเชิงกลยุทธ์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/2565 ธุรกิจปิโตรเคมีมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน หลังจากราคาพลังงานทรงตัวแม้ว่าจะยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งผู้ประกอบการปิโตรเคมีต่างพากันลดกำลังการผลิตลง ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวดีขึ้นบ้าง
ส่วนแนวโน้มปิโตรเคมีในปี 2566 ยังมีปัจจัยลบจากกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดมากกว่าการเติบโตของความต้องการใช้เช่นเดียวกับปีนี้ ส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังไม่ดีขึ้นนัก แต่ถ้าปี 2567 พบว่ากำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลง น่าจะเห็นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จึงเอื้อต่อการทำธุรกิจใน 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น การที่โครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ Long Son Petrochemicals (LSP) ในประเทศเวียดนาม ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/2566 ก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย
สำหรับธุรกิจซีเมนต์ ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น บริษัทมีการปรับราคาขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว รวมทั้งการลดต้นทุนลง หากจะต้องปรับราคาขึ้นอีกคาดไตรมาสนี้อาจปรับขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐต่อตันน่าจะเป็นไปได้ ปัจจุบันใช้ถ่านหินทั้งกลุ่มบริษัทอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี เป็นการใช้ในกลุ่มซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างถึง 3.5 ล้านตัน รวมทั้งในไทยและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 บริษัทมุ่งลดต้นทุน เร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ทดแทนถ่านหิน โดยไตรมาสที่ 3/2565 ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้นถึง 40% จากเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิต ตั้งเป้าปลายปีนี้เพิ่มเป็น 50%
"ปีนี้เราเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ ต้นทุนพลังงานที่ปรับสูงขึ้น ทำให้เราต้องปรับลดต้นทุน และขึ้นราคาสินค้า ขณะเดียวกันจีนก็ปิดประเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าลดลง แต่เรามองเป็นอัปไซด์ ถ้าหากจีนเปิดเมือง ความต้องการสินค้าก็จะกลับมา เราเชื่อว่าอีกไม่นาน" นายทศทิศกล่าว
สำหรับงบลงทุนในปีนี้ บริษัทได้มีการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนทำให้ลดการใช้เงินลงทุนไป 1.5 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทำให้ทั้งปี 2565 บริษัทจะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 5.5 หมื่นล้านบาท
