กรมการค้าภายในไฟเขียว “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ปรับขึ้นราคาไม่เกิน 1 บาท หรือไม่เกินซองละ 7 บาท นำร่อง 3 ยี่ห้อ “มาม่า-ไวไว-ยำยำ” เริ่ม 25 ส.ค.นี้ พร้อมกำหนดเงื่อนไขเข้ม ต้องแจ้งข้อมูลการรับซื้อวัตถุดิบ และหากต่อไปต้นทุนวัตถุดิบลดลง จะมีหนังสือแจ้งให้ปรับลดราคาลงด้วย ส่วนอีก 2 ราย หากยื่นข้อมูลครบ จะพิจารณาด้วยหลักเกณฑ์เดียวกัน
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 ราย ได้แก่ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ตรามาม่า บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ตราไวไว และบริษัท วันไทย อุตสาหกรรม อาหาร จำกัด ตรายำยำ เพื่อพิจารณากรณีที่ผู้ผลิตยื่นขอปรับขึ้นราคาแบบซองจาก 6 บาทเป็น 8 บาท โดยหลังจากพิจารณาต้นทุนร่วมกันอย่างละเอียดแล้ว ทั้งต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม แพกเกจจิ้ง รวมถึงต้นทุนพลังงาน และแรงงาน เห็นว่าต้นทุนปรับเพิ่มขึ้นจริง จึงได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาทั้ง 3 ราย ไม่เกิน 1 บาทต่อซองสำหรับขนาดปกติ ส่วนรายการอื่น ไม่อนุมัติให้ปรับขึ้น มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค. 2565 เป็นต้นไป
“ราคาที่ผู้ผลิตที่ยื่นขอมา 8 บาท ถือว่าสูงไป จึงอนุมัติให้ขึ้นได้ไม่เกิน 1 บาทต่อซอง หรือสูงสุดไม่เกินซองละ 7 บาท เพราะต้องคำนึงถึงพี่น้องประชาชนภายใต้นโยบาย วิน-วิน โมเดล ที่ผู้ผลิตอยู่ได้ ผลิตต่อได้ และประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบมากจนเกินไป จึงออกมาอย่างที่ได้ตกลงกัน”
ทั้งนี้ กรมฯ ยังได้เพิ่มเงื่อนไขให้ผู้ผลิตปฏิบัติ คือ ถ้าต้นทุนวัตถุดิบลดลง ต้นทุนพลังงานลดลง ก็ต้องปรับลดราคาลงมา โดยกรมฯ จะมีการติดตามอย่างใกล้ชิด และจะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ผลิตปรับลดราคาต่อไป โดยต่อไปหากมีกรณีนี้เกิดขึ้น และกรมฯ ได้แจ้งผู้ผลิตไปแล้ว แต่ผู้ผลิตไม่ปรับลดราคาลง จะเป็นการเข้าข่ายขายสินค้าแพงเกินสมควร มีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ม.26 และ ม.29
สำหรับผู้ผลิตอีก 2 รายที่เหลือ คือ บริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ตรานิชชิน และบริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด ตราซื่อสัตย์ จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์เดียวกันนี้ โดยล่าสุดนิชชินได้ยื่นรายละเอียดต้นทุนเข้ามาครบถ้วนแล้ว กรมฯ จะพิจารณาต่อไป ส่วนซื่อสัตย์ยังไม่ได้ยื่นรายละเอียดเข้ามา
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า กล่าวว่า หากมองในจุดที่ผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคาไป 8 บาทต่อซอง ได้ปรับไม่เกิน 1 บาท หรือไม่เกิน 7 บาทต่อซอง ก็ถือว่าแย่ แต่ถ้ามองจากจุดที่ผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคามา 18 เดือนก็ถือว่าดี และเข้าใจว่าภาครัฐต้องดูแลพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไม่ให้ได้รับผลกระทบจากภาระค่าครองชีพที่จะเพิ่มขึ้น ถือว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ ซึ่งผู้ผลิตก็ยอมรับได้ เพราะยังดีกว่าไม่ได้ปรับขึ้นราคาเลย