กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเผยเอกชน 4 ราย ไทย 2 บริษัทร่วมทุนต่างชาติ 2 สนใจมาขอดูข้อมูลใน DATA ROOM โดยกระทรวงจะเปิดให้ยื่นขอคำขอสิทธิ์ประมูลปิโตรเลียมรอบ 24 ภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต 15-16 ก.ย.นี้ ลั่นพื้นที่มีศักยภาพ
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศเชิญชวนการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบที่ 24 บริเวณทะเลอ่าวไทย จำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย แปลง G1/65 G2/65 และ G3/65 บริเวณทะเลอ่าวไทยภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตเมื่อ 27 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้สนใจมาขอดูข้อมูลใน DATA ROOM 4 ราย เป็นไทย 2 ราย และบริษัทร่วมทุนต่างชาติ 2 ราย โดยจะมีการเปิดให้ศึกษาข้อมูลตั้งแต่ 9 พ.ค.-2 ก.ย. 65 จากนั้นจะเปิดให้ยื่นคำขอสิทธิ์ฯ 15-16 ก.ย. 65 และคาดว่าจะประกาศผลผู้ชนะสิทธิ์ได้ในเดือน ก.พ. 66
“ถ้ามีการลงนาม 3 แปลงนี้จะเกิดการลงทุนต่ำสุด 1,500 ล้านบาทจากกิจกรรมการสำรวจ และเมื่อเข้าสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์จะมีเม็ดเงินเข้ามาอีกหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่นักลงทุนมาขอข้อมูลเพราะแสดงความสนใจ เพราะในมุมนักธรณีวิทยาเขาเห็นว่าไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ได้ต่อโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงจึงทำให้รายใหม่สนใจในแหล่งใหม่ ส่วนแหล่งบนบกที่ผลิตอยู่เดิมยังผลิตต่อไปแต่ยังมีประเด็นอาจมีพื้นที่คาบเกี่ยวกับหน่วยงานอื่นที่กรมฯ ต้องไปพิจารณาหาทางออกร่วมกันอย่างไรที่จะกลับมาเปิดประมูลบนบกได้” นายสราวุธกล่าว
สำหรับการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ) และแปลง G2/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช) จากระบบสัมปทานเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ที่ผ่านมานั้น ความคืบหน้าเกี่ยวกับอัตราการผลิตปิโตรเลียมเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมของแปลง G1/61 อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแปลง G2/61 อยู่ที่ประมาณ 870 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้กำกับดูแลและผลักดันให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ในฐานะผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิต เร่งการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเลียม (Ramp up) ของแปลง G1/61 ให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเร็ว เพื่อรักษาความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ดังนี้ 1. ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจัดหาก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่ม โดยการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพ ได้แก่ แหล่งอาทิตย์ แปลง B8/32 รวมถึงแปลง B-17ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มนี้ได้ทยอยเข้าระบบแล้ว
2. กำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานทุกรายเตรียมความพร้อมในการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มความสามารถตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และประสานให้เลื่อนแผนการหยุดซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และ
3. ในส่วนของการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้ดำเนินการเกี่ยวกับการให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต บริเวณทะเลอ่าวไทยจำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 พื้นที่ 8,487.20 ตารางกิโลเมตร 2. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 มีพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร 3. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G3/65 มีพื้นที่ 11,646.67 ตารางกิโลเมตร
สำหรับปีงบประมาณ 2565 (เดือนตุลาคม 2564-มีนาคม 2565) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ประกอบด้วย ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม SRB และรายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และค่าตอบแทนในการต่อระยะเวลาการผลิต รวมทั้งสิ้น 27,635.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วจำนวน 3,161.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.92
ส่วนการจัดเก็บรายได้ระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน 2565 ซึ่งจะรวมรายได้จากแปลงที่ดำเนินการในระบบสัมปทาน และแปลงที่ดำเนินการในระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (รายได้ประกอบด้วยค่าภาคหลวง ส่วนแบ่งกำไร และค่าตอบแทนการใช้สิ่งติดตั้งของรัฐ) โดยคาดว่าจะมีรายได้จากทั้ง 2 ระบบรวมทั้งสิ้น 25,653 ล้านบาท