ผู้จัดการายรายวัน 360 - ปลุกชีพการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก “พราว กรุ๊ป” ของตระกูลลิปตพัลลภ ทุ่ม 4,500 ล้านบาทเปิดตัวอภิมหาโปรเจกต์ “อันดามันดา ภูเก็ต” พร้อมเปิดให้บริการ พ.ค. 65 นี้ ตั้งเป้านักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการ 1 ล้านคนต่อปี คุ้มทุนใน 6 ปี
นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่บริการที่หัวหิน โครงการ วานา นาวา ซึ่งเป็นมิกซ์ยูสแห่งการพักผ่อนและการบันเทิงแห่งแรกของไทย ที่ได้รับโหวตให้เป็นสวนน้ำที่ดีที่สุดอันดับ 3 ในทวีปเอเชีย ในปี 2020 บนเว็บไซต์ TripAdvisor ล่าสุดได้ขยายการลงทุนใหม่ กับโปรเจกต์สุดยิ่งใหญ่ กับโครงการ “อันดามันดา ภูเก็ต” ที่จังหวัดภูเก็ต ด้วยงบลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการ พ.ค. 2565 นี้ ตั้งเป้าต่อปีรับนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน
สำหรับโครงการ อันดามันดา ภูเก็ต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ประกอบด้วย 3 ส่วนธุรกิจ คือ สวนน้ำ, โรงแรม และพื้นที่รีเทลเชิงไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมกับโชว์น้ำพุสุดอลังการ โดยในส่วนของสวนน้ำนั้นพร้อมเปิดให้บริการ พ.ค. 2565 นี้ ผ่านแนวคิดและแรงบันดาลใจ “Thai Legend Meets Fantasy” บน 3 ธีมหลัก คือ 1. การผจญภัย (Adventure) 2. วัฒนธรรม (Culture) 3. การพักผ่อนหย่อนใจ (Leisure) เพื่อรองรับความต้องการของทักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย หลากหลายความต้องการ
นอกจากนี้ยังมีทะเลเทียมขนาดใหญ่ 10,000 ตร.ม. สามารถโต้คลื่นได้สูงสุดถึง 3 เมตร ที่เดียวในไทย ที่มาพร้อมกับหาดทรายเทียมที่มีความยาวกว่า 300 เมตร รองรับคนได้มากกว่า 5,000 คนสำหรับการจัดงานและอีเวนต์ต่างๆ เครื่องเล่นและจุดน่าสนใจทั้งหมดกว่า 25 รายการ รวมไปถึงสไลเดอร์กว่า 12 สไลเดอร์ โซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กกว่า 5,300 ตารางเมตร ช่วงพรีเซลเข้าใช้บริการ ผู้ใหญ่ ราคาบัตรปกติ 1,500 บาท เหลือ 850 บาท ส่วนบัตรสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ จาก 1,000 บาท เหลือ 550 บาท
“อันดามันดา ภูเก็ต แบ่งออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกเป็นสวนน้ำ ดีเลย์มา 1 ปีกว่าจากปัญหาโควิด ซึ่งในส่วนของสวนน้ำนี้ใช้พื้นที่ 50 ไร่ ลงทุน 3,000 ล้านบาท เจาะกลุ่มทั้งคนไทยและต่างประเทศ เฉพาะปีนี้วางเป็นไทย 70% ต่างประเทศ 30% หรือถึงสิ้นปีจะมีผู้ใช้บริการได้ไม่ต่ำกว่า 4 แสนราย และหากเปิดประเทศจะวางสัดส่วนไทยเป็น 30% ต่างประเทศ 70% มองเป็นอินเดีย ออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย จากเดิมที่เน้นนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ซึ่งหากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเต็ม 100% เชื่อว่าต่อปีจะมีผู้ใช้บริการราว 1 ล้านคน คิดเป็น 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวภูเก็ตปีละ 10 ล้านคน โดยมองว่าในส่วนของสวนน้ำจะคุ้มทุนได้ใน 6-7 ปี”
ในส่วนของเฟส 2 จะเป็นโรงแรม ลงทุนไป 1,500 ล้านบาท ใช้แบรนด์ฮอลิเดย์อินน์ ระดับ 4 ดาว ขนาด 300 ห้อง ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ใน 2 ปีจากนี้ และหลังจากเปิดให้บริการเชื่อว่าจะคืนทุนได้ใน 10 ปี
นางสาวพราวพุธกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ทางพราว กรุ๊ปยังมองหาทำเลที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นสวนน้ำ มิกส์ยูส ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ มี 2 ทำเล คือ สมุย และ กทม. โดยถ้าจะลงทุนนั้น แต่ละโครงการน่าจะไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และแต่ละทำเลจะต้องมีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนขึ้นไป
ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาภูเก็ตเฉลี่ยวันละ 2,000-3,000 คน ซึ่งในปัจจุบันพบยอดจองห้องพักเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าการยกเลิกระบบ Test & Go อาจเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากถึงวันละ 6,000 คน และตั้งเป้าไว้ที่หลักหมื่นคนต่อวัน ซึ่งการลงทุนในโครงการอันดามันภูเก็ตเกือบ 5 พันล้านของภาคเอกชนจะมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของการกลับมาของการท่องเที่ยวของประเทศไทยและการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และจะเป็นการตอกย้ำความเป็นเมืองท่องเที่ยวของเมืองไทย และส่งเสริมให้เมืองภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า “ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ุ65 ซึ่งมีการปรับเงื่อนไขในการเข้าประเทศ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น คาดว่า 3 ตลาดที่จะเดินทางเข้ามาและจะเสริมในช่วงโลว์ซีซัน ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย และตะวันออกกลาง รวมถึงหากรัฐบาลต่ออายุโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 จะทำให้มีคนไทยมาเสริม ทำให้เราได้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากเดิมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละ 400-500 คน เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 2,000-3,000 คน ดังนั้นเชื่อว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนมาตรการเข้าราชอาณาจักรในลักษณะที่ผ่อนคลายอย่างมาก จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3 เท่า จากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาวันละ 3,000 คน จะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 คน และในช่วง 4 เดือน คือระหว่างเดือน มิ.ย. ถึง ก.ย.นักท่องเที่ยวจะกลับมาประมาณ 40% ของปี 2562”