สนพ.เผยภาครัฐโดยกระทรวงพลังงานและ สกพอ.เร่งขับเคลื่อนแผนพัฒนาอุตฯ ปิโตรเคมีเฟส 4 ระยะ 5 ปี ผุด 25 โครงการ ลงทุน 4 แสนล้านบาทวาง 5 ประเภทการลงทุนเน้นในพื้นที่อีอีซี ระดมหน่วยงานวางเงื่อนไขส่งเสริมฯ หวังช่วยขับเคลื่อนศก.รับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมกางแผนขับเคลื่อนพลังงานสะอาดรับเทรนด์โลก
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะที่ 4 ว่า กระทรวงพลังงานได้ขับเคลื่อนแผนงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในรูปแบบคณะกรรมการร่วมการพัฒนาการลงทุนฯ ที่มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานร่วมกับเลขาธิการ สกพอ. และมีกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แผนดำเนินงาน 5 ปี (ปี 2565-2567) ซึ่งมีทั้งหมด 25 โครงการประมาณการเม็ดเงินลงทุนรวม 3.9-4 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มอย่างน้อย 2,231 อัตรา
สำหรับ 25 โครงการประกอบด้วยประเภทการลงทุน 1. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวม 12 โครงการ วงเงินลงทุนประมาณ 338,364 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,661 อัตรา 2. อุตฯ เกี่ยวกับการรีไซเคิลและพลาสติกชีวภาพ (RecycleและBiochimical) 3 โครงการ วงเงินลงทุน 22,500 เกิดการจ้างงาน 300 อัตรา 3. การปรับปรุงกระบวนการผลิต 5 โครงการ เงินลงทุน 8,270 ล้านบาท 4. การวิจัยและพัฒนา 2 โครงการ วงเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท การจ้างงาน 20 อัตรา 5. โครงสร้างพื้นฐานและ Utilities 3 โครงการ ลงทุน 18,500 ล้านบาท จ้างงาน 250 อัตรา
"การพัฒนาปิโตรเคมีระยะที่ 4 เป็น Big Rock ภายใต้การปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน โดยกระทรวงฯ ได้ศึกษาแผนพัฒนาในพื้นที่อีอีซีและพื้นที่ที่มีศักยภาพและเสนอคณะกรรมการปฏิรูปตั้งแต่ ก.ย. ปี 2564 และคณะกรรมการปฏิรูปได้มอบให้จัดทำแนวทางมาตรการส่งเสริมร่วมกับเอกชนและรัฐ โดยปี 2565-67 หรือแผน 5 ปี โดยระยะแรกการลงทุนจะเน้นพื้นที่อีอีซีโดยการขยายอุตสาหกรรมปิโตรเคมีชนิดพิเศษ และกลุ่มรีไซเคิล พลาสติกชีวภาพเพื่อตอบสนองนโยบายเศรษฐกิจ BCG จากนั้นปี 2567 เป็นต้นไปจะสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี Low Carbon" นายวัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับการขับเคลื่อนแผนงานหลักๆ ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการดำเนินการตามมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ที่มีในปัจจุบัน สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentive) ด้านการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก และมาตรการกระตุ้นการลงทุนในปี 2565 เพื่อที่จะเป็นแรงจูงใจในการดึงการลงทุนจากภาคเอกชน เช่นเดียวกับอัตราค่าเช่าของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ที่ได้มีมติขึ้นค่าเช่าเหลือ 2% ต่อปีจากเดิมที่อัตราค่าเช่าที่หมดอายุต้องปรับขึ้น 10% ทุก 3 ปี เป็นต้น
นายวัฒนพงษ์ยังได้กล่าวถึงมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อ 6 พ.ค.ที่รับทราบแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564-2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) โดยมีกำลังผลิตตามสัญญาจากพลังงานสะอาดรวมทั้งสิ้น 9,996 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ 4.455 เมกะวัตต์ ลม 1,500 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 335 เมกะวัตต์ ชีวมวล 485 เมกะวัตต์ ขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ ขยะอุตสาหกรรม 200 เมกะวัตต์ ซื้อไฟต่างประเทศ 2,569 เมกะวัตต์ พลังงานน้ำขนาดเล็ก 52 เมกะวัตต์
กพช.ยังเห็นชอบอัตรารับซื้อไฟจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff สำหรับปี พ.ศ. 2565-2573 สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำลังผลิตตามสัญญาไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน อัตรารับซื้อ 2.16 บาทต่อหน่วย (ระยะเวลา 25 ปี) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar+BESS) 2.83 บาทต่อหน่วย พลังงานลม 3.10 บาทต่อหน่วย และก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) 2.07 บาทต่อหน่วย (ระยะ 20 ปี)