ปตท.สผ.ฟุ้งรายได้ในไตรมาส 2/2565 โตต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว เหตุมีปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นและราคาก๊าซฯ สูงอยู่ ประเมินราคาน้ำมันปีนี้ผันผวนเฉลี่ยอยู่ที่ 90-130 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล พร้อมเร่งเดินหน้าผลิตก๊าซฯ ให้ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันในโครงการเอราวัณตามสัญญา PSC ภายใน 24 เดือน
นายธนัตถ์ ธำรงศักดิ์สุวิทย์ ผู้จัดการ แผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการบริษัทในไตรมาส 2/2565 ว่า บริษัทคาดมีผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 1/2565 เนื่องจากปริมาณการขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 467,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน สูงกว่าไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 4.27 แสนบาร์เรล/วัน และคาดว่าทั้งปี 2565 ก็น่าจะอยู่ที่ระดับเฉลี่ยดังกล่าว โดยบริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการ แอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ซึ่งจะเริ่มการผลิตในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565
ส่วนราคาปิโตรเลียมในไตรมาส 2 นี้ก็ยังสูงอยู่ โดยราคาก๊าซธรรมชาติได้ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 6.2 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2565 และทั้งปีคาดว่าราคาก๊าซฯ อยู่ที่ 6.4 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ซึ่งราคาก๊าซฯ น่าจะปรับตัวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 4 นี้เนื่องจากเป็นช่วงปรับรอบสัญญาของโครงการสำคัญหลายโครงการ
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่เฉลี่ย 90-130 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวมาอยู่ที่ 9.95 แสนบาร์เรล ถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ยังสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังต้องรอติดตามในระยะต่อไป
ส่วนปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโลกจะเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยกลุ่มโอเปกพลัสยังคงมติแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ 4.32 แสนบาร์เรล/วัน ไปจนถึงเดือน ก.ย. 2565 ทำให้บางประเทศเริ่มมีนำน้ำมันดิบออกจากคลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะสหรัฐฯ
ด้านราคาก๊าซธรรมชาติ ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน คาดการณ์ราคา Asian Spot LNG เฉลี่ยทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 23-26 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ขณะที่ความต้องการใช้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 401 ล้านตัน/ปี เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้นมาก และความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเอเชียที่ยังคงเพิ่มขึ้นจากประเทศจีน อินเดีย และบังกลาเทศ ด้านซัปพลาย พบว่ากำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 27 ล้านตันในปี 2564 เป็น 422 ล้านตันในปี 2565 โดยหลักมาจากสหรัฐฯ และรัสเซีย
นางสาวอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน ปตท.สผ. กล่าวว่า การดำเนินงานหลักของปีนี้ ปตท.สผ.ให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานในโครงการจี 1/61 หลังจากบริษัทเข้าเป็นผู้ดำเนินการ (operator) เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2565 โดยจะเร่งแผนงานการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชนและประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ.และเป็นผู้ดำเนินการของโครงการจี 1/61 และจี 2/61 ร่วมกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะผู้ขายได้ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ คอนเดนเสท และน้ำมันดิบ กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสร็จสิ้นแล้ว โดย ปตท.สผ.อีดี จะเป็นผู้ดำเนินการภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิตของ ทั้งสองโครงการตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2565
นอกจากนี้ ปตท.สผ.อีดี ได้ลงนามในข้อตกลงกับ บริษัท เอ็มพี จี2 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็น บริษัทย่อยของบริษัท Mubadala Petroleum (Thailand)Holdings Limited ส่งผลให้บริษัทเป็นผู้ลงทุนเพียงผู้เดียว และเป็นผู้รับรายได้รวมถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดของโครงการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เพื่อให้โครงการ จี 1/61 สามารถผลิตปิโตรเลียมได้อย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้ ช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าประสบการณ์ในฐานะผู้ดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย รวมถึงความพร้อมตามแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนจะทำให้ ปตท.สผ.สามารถดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตของทั้งสองโครงการได้อย่างปลอดภัย