GPSC ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าในปีนี้มากกว่า 500 เมกะวัตต์ และขยายการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 7% ชี้ต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่แพงขึ้นทุก 1 บาท/หน่วยกระทบกำไรลด 30 ล้านบาท
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในปี 2565 มากกว่า 500 เมกะวัตต์ (MW) รวมทั้งขยายการจำหน่ายไฟฟ้าให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปีก่อนและขยายยอดจำหน่ายไอน้ำให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากปีก่อน
ส่วนราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นสืบเนื่องจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น หากราคาก๊าซฯ มีการปรับราคาขึ้นทุกๆ 1 บาทต่อหน่วยจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทประมาณ 30 ล้านบาท แต่บริษัทได้มีการวางแผนรองรับผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคาพลังงานและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่ของบริษัทจะอยู่ในสกุลเงินบาท ทั้งนี้จะมีบางส่วนที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทมีความเสี่ยงประมาณ 100-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในแง่มุมของผลกระทบบริษัทเห็นว่ายังมีความเสี่ยงไม่มากนัก
นายวรวัฒน์กล่าวว่า บริษัทมีแผนการใช้เงินทุนสำหรับโครงการต่างๆ ที่คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติในช่วง 5 ปีนี้ (2565-69) ประมาณ 56,000 ล้านบาท รวมกับภาระชำระหนี้เงินกู้ใน 5 ปีข้างหน้า รวมกันแล้วเป็นเงิน 79,800 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงได้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่ออนุมัติแผนการออกหุ้นกู้ทั้งในและต่างประเทศในวงเงินไม่เกิน 63,000 ล้านบาทหรือในสกุลเงินอื่นในอัตราเทียบเท่าภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งได้ร้บอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ในปี 2564 ความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรมของบริษัท และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจากปี 2563 โดยในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 7,319 ล้านบาท ลดลงในอัตราร้อยละ 3 จากปี 2563 โดยบริษัทสามารถรับรู้เงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรับรู้ผลประโยชน์จากการทำงานร่วมกันในการควบรวมกิจการของบริษัทโกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะราคาต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากในตลาดโลก และการคงอัตราค่าไฟฟ้าพื้นฐานเพื่อช่วยลดภาระผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19