xs
xsm
sm
md
lg

SCGPลั่นไตรมาส2/65โตต่อเนื่อง รับไทยเปิดปท.-รับรู้M&P

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCGP มั่นใจไตรมาส2นี้โตกว่าไตรมาส1/65 และช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุการใช้บรรจุภัณฑ์อาหารพุ่งจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ 1 พ.ค.นี้ และรับรู้รายได้จากการการทำ M&P เผยไตรมาส1/65มีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีกำไร 1,658 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 เหตุต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น แย้มรุกธุรกิจกัญชง ทำวิจัยตัดต่อพันธุกรรมกัญชงให้ได้สายพันธุ์ที่เหมาะปลูกในไทย เล็งนำไฟเบอร์กัญชงผสมในบรรจุภัณฑ์ 
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส2/2565 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวของปีก่อน และไตรมาส1/2565 เนื่องจากไทยเปิดประเทศเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1พ.ค.นี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารเพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทรับรู้รายได้จากจากการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ(M&P)ของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2565 ยังมีปัจจัยลบที่ต้องติดตามซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดจากผลกระทบการล็อกดาวน์ของจีนตามมาตรการ Zero COVID ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณความต้องการนำเข้าสินค้าลดลงด้วยและปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าบรรลุเป้าหมายมีรายได้จากการขายปีนี้ 1.4แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งการเติบโตจากการขยายกำลังการผลิต (Organic Growth)และการเร่งขยายธุรกิจจากการทำM&P ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาหลายโครงการเน้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) ที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวและได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยพิจารณาลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบในกลุ่มประเทศที่บริษัทมีฐานการผลิตอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซียและเวียดนาม ขณะเดียวกันมองโอกาสการลงทุนในอินเดียและสหรัฐอเมริกาด้วย โดยตั้งงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 1/2565 ใช้งบลงทุนไปแล้ว1,642ล้านบาท
 


สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,658 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA อยู่ที่ 4,887 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นมาจากการเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และการรับรู้รายได้จากการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ ( M&P) ของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab รวมถึงยอดขายจากกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business) ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ทั้งบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ จากปริมาณความต้องการในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค การส่งออกอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง และปริมาณความต้องการและราคาของเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

ในส่วนของกำไรสำหรับงวดที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นผลมาจากต้นทุนด้านวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นโดยบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและวางแผนบริหารจัดการล่วงหน้า และได้ทำสัญญาซื้อขายปริมาณถ่านหินระยะยาวที่ต้องใช้ในปีนี้ เพื่อลดผลกระทบจากราคาที่ผันผวนและปริมาณที่มีจำกัด การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งวางแผนรับมือปัจจัยความไม่แน่นอนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ภาวะเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น การบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การพิจารณาโครงการลงทุนด้วยความรอบคอบ เป็นต้น


นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมเก็บเกี่ยวดอกกัญชงในช่วงพ.ค-มิ.ย.นี้ ในพื้นที่เพาะปลูกของบริษัทที่ปลูกต้นกัญชงจำนวน 210 ต้นในจังหวัดกาญจนบุรีโดยมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญในการตัดแต่งพันธุกรรม เพื่อให้ได้สายพันธุ์กัญชงที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกในประเทศไทย ส่วนในอนาคตอาจนำไฟเบอร์จากต้นกัญชงมาผสมในผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ด้วย

สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนในปีนี้ คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวจากการที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19และเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นและเกิดการเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์รัสเซีย–ยูเครนยังคงยืดเยื้อ ทำให้ราคาพลังงานและวัตถุดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น