“จุรินทร์” เผยส่งออก ม.ค. 65 มีมูลค่า 21,258.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 8% ชี้ประกาศตัวเลขช้า เหตุกรมศุลกากรอยู่ระหว่างปรับระบบพิกัดศุลกากรทุก 5 ปี ยันสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ประเมินเบื้องต้นยังไม่มีผลกระทบ แต่ต้องจับตาเรื่องน้ำมัน การขนส่ง วัตถุดิบอาหารสัตว์ ระบุเตรียมแผนรับมือแล้ว เล็งเจาะตลาดอื่นเพิ่ม ส่งสินค้าไทยไปแทนสินค้ารัสเซีย-ยูเครน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการส่งออกเดือน ม.ค. 2565 มีมูลค่า 21,258.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 708,312 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับ ม.ค. 2564 ที่ขยายตัวแค่ 0.1% ส่วนตัวเลขที่ออกมาล่าช้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่กรมศุลกากรปรับระบบพิกัดศุลกากรทุก 5 ปี การประมวลรายละเอียดสินค้ายังดำเนินการไม่ครบถ้วน จึงไม่มีรายละเอียดสินค้า แต่มีตัวเลขรวมตรงตามข้อเท็จจริงตามที่ได้แจ้งไว้ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 23,785 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเข้าวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต และการนำเข้าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยขาดดุลการค้ามูลค่า 2,526.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกเดือน ม.ค. 2565 เป็นบวกถึง 8% เพราะมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน ที่เดินหน้าต่อไปอย่างเข้มข้น ภาคการผลิตทั่วโลกยังขยายตัว ดูได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing : PMI) ที่ยืนเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 สะท้อนว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ และยังได้รับผลดีจากสหรัฐฯ ที่ขยายเวลาทำการในวันหยุด และเพิ่มการทำงานในช่วงกลางคืน ทำให้คล่องตัวขึ้นและตู้คงค้างลดลง
นายจุรินทร์กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาพันธ์ SMEs และสมาคมอื่นที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนร่วมกัน โดยเห็นตรงกันว่ายังไม่มีผลกระทบทางตรง หรือถ้าจะมีก็ยังไม่มาก เพราะรัสเซียเป็นตลาดส่งออกของไทยสัดส่วน 0.38% และยูเครนสัดส่วน 0.04% ยังเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก แต่เมื่อเจาะเป็นรายสินค้า มีผลกระทบต่อยางรถยนต์ อาหารแปรรูป อัญมณี และเครื่องสำอาง ที่ส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครน
ส่วนในอนาคต ประเมินว่าอาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ตอนนี้ยังไม่มี และจะมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าทางเรือ หากน้ำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีการปิดท่าเรือบางแห่งในรัสเซียหรือยูเครน การส่งสินค้าของไทยอาจต้องเปลี่ยนท่าเรือ จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งได้ รวมถึงผลกระทบเรื่องราคาพลังงาน ราคาเหล็ก ที่จะกระทบต่อการผลิตกระป๋อง หรือก่อสร้าง และธัญพืช เช่น ข้าวสาลี และข้าวโพด เพราะทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะยูเครน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว หากเกิดปัญหา โดยจะบุกตลาดทดแทน เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา เตรียมบุกตลาดทดแทนสินค้าของรัสเซียหรือยูเครนที่ไม่สามารถส่งออกไปตลาดสำคัญในโลกได้ จะถือเป็นโอกาสเข้าไปทดแทนตลาดรัสเซียกับยูเครน เช่น มันสำปะหลัง อาจส่งไปจีน แทนข้าวโพดของยูเครน หรือผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐฯ อาหารสำเร็จรูปส่งออกไปทดแทนสินค้าจากรัสเซีย และยูเครน เป็นต้น