PTTGC ชี้ผลการดำเนินงานปี 64 ดีต่อเนื่อง เป็นผลจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อกิจการ Allnex และราคาน้ำมันสูงหนุนมาร์จิ้นการกลั่นและราคาปิโตรเคมีดี แม้ว่าจะมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและโรงโอเลฟินส์ก็ตาม จ่อออกหุ้นกู้ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ในมี.ค.นี้
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 ว่า ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จาก Allnex เต็มปีประมาณ 2,000 ล้านยูโร หรือราว 74,162 ล้านบาท รวมทั้งรับรู้กำไรเพิ่มเติมจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) (VNT) ที่จะเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่กำลังการผลิตในปีนี้น่าจะลดลงหรือใกล้เคียงปี 2564 เนื่องจากมีแผนการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันและโรงโอเลฟินส์ แต่ขณะเดียวกันก็จะมีกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide : PO) เข้ามา
รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าการกลั่นในปีนี้ยังดีอยู่ รวมทั้งราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับราคาสูงขึ้นด้วย ยกเว้นสารอะโรเมติกส์ (พาราไซลีนและเบนซีน) ที่ได้รับผลกระทบจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดกดดันมาร์จิ้นให้ต่ำลง ส่งผลให้ทั้งปี 2565 บริษัทมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน
ส่วนความคืบหน้าการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) โครงการต่างๆ ในปีนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจาโดยจะมุ่งเน้นในธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ และยืนยันว่าจะไม่มีการ M&A โครงการขนาดใหญ่เหมือน Allnex เพราะจะมุ่งเน้นการทำ Synergy ร่วมกันของ allnex และ PTTGC
นายคงกระพันกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการลงทุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรร่วมทุนอยู่ ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดี ต้นทุนวัตถุดิบคืออีเทนถือว่าต่ำเกือบที่สุดของโลก แต่บริษัทมีนโยบายที่จะไม่ลงทุนคนเดียว จำเป็นต้องหาพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสมให้ได้ก่อน ดังนั้นบริษัทจึงไม่ได้กำหนดว่าต้องตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) เมื่อไหร่
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดือนมีนาคมนี้ อายุหุ้นกู้ 10 ปี และ 30 ปี เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันจำนวนรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท
บริษัทได้ปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจสอดคล้อง 5 เมกะเทรนด์โลก ประกอบด้วย Climate Change & Energy Transition, Demographic Shift, Health & Wellness, Urbanization และ Disruptive Technology ที่มีผลต่อการเติบโต การดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ การแข่งขันทางการค้า การปรับเปลี่ยนทิศทางของภาคอุตสาหกรรมสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยบริษัทวางเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจ
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 มีรายได้จากการขายรวม 465,128 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษอื่นๆ) ที่ 55,186 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 93 จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ในปี 2564 มีกำไรสุทธิรวม 44,982 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 200 จากปี 2563