กรมการค้าภายในวิเคราะห์น้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า พบปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก อาหารเครื่องดื่มแค่ 1.45% ของใช้ประจำวัน 1.1% วัสดุก่อสร้าง 1.2% ปัจจัยเกษตร 0.5% ย้ำใช้เป็นเหตุผลปรับขึ้นราคาไม่ได้ ขอให้ตรึงราคาไปก่อน พร้อมเชิญ ส.อ.ท. สภาหอฯ สมาคมผู้ผลิต หารือรายกลุ่ม ติดตามสถานการณ์
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบต้นทุนน้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ตามที่ได้รับการสั่งการจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยได้ทำการวิเคราะห์ต้นทุนน้ำมันดีเซลที่ 25 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 30 บาทต่อลิตร พบว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าไม่มาก จึงไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ผลิตจะใช้ในการปรับขึ้นราคา และได้ขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้าไปก่อน เพราะผลการวิเคราะห์ เช่น สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.45% ของใช้ประจำวัน เพิ่ม 1.1% วัสดุก่อสร้าง เพิ่ม 1.2% กระดาษและผลิตภัณฑ์ เพิ่ม 5% ปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช เพิ่ม 0.5% เป็นต้น
“กรมฯ ได้ติดตามดูแลสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และเห็นว่ารัฐบาลได้เข้ามาดูแลราคาน้ำมันดีเซลอยู่แล้ว ไม่น่าที่จะปรับเพิ่มขึ้น คงจะอยู่ในระดับ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าไม่ปรับเพิ่มไปมากกว่านี้ จึงเบาใจในเรื่องต้นทุนน้ำมันที่จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ส่วนต้นทุนในด้านการขนส่ง กรมฯ ได้มีการติดตามเช่นเดียวกัน พบว่ามีผลกระทบมากน้อยต่างกัน แล้วแต่ชนิดสินค้า แต่โดยภาพรวม ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ” นายวัฒนศักย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการดูแลราคาสินค้าไม่ให้ส่งผลกระทบตีอผู้บริโภค กรมฯ ได้เชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการค้า ผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการ มาหารือเป็นรายกลุ่มสินค้าแล้ว เพื่อประเมินสถานการณ์สินค้าแต่ละรายการ และได้แจ้งขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้า เพราะกระทรวงพาณิชย์ไม่มีนโยบายให้ปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ ยกเว้นผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้จริงก็จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป โดยมีหลัก คือ ผู้บริโภคต้องไม่เดือดร้อนจนเกินไป และผู้ผลิตต้องอยู่ได้
สำหรับแนวโน้มราคาสินค้า พบว่าหลายรายการมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เช่น ปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการทำการเกษตร โดยราคาแม่ปุ๋ยยูเรียลดลง 17% จากราคาในเดือน ธ.ค. 2564 อยู่ที่ 953 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 790 เหรียญสหรัฐต่อตัน ฟอสเฟต ลดลง 5% จากราคา 908 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 859 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนโปแตช เพิ่มขึ้น 8% จาก 665 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 724 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ที่ใช้เยอะ ก็คือ ยูเรีย ซึ่งจะทำให้แนวโน้มราคาปุ๋ยในประเทศปรับตัวลดลง
ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค ได้ขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาได้แล้วหลายกลุ่ม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำอัดลม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซอสปรุงรส นมและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารกระป๋อง อาหารสด เช่น ไข่ไก่ เนื้อไก่ และเนื้อหมู ที่ล่าสุดหลังจากตรึงราคาหน้าฟาร์มส่งผลให้ราคาทรงตัว และปัจจุบันเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว