บีบีจีไอเร่งเจรจาพันธมิตร 2-3 รายเพื่อร่วมทุนตั้งโรงงานผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) ที่นำเทคโนโลยี SynBio สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (HVP) ตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้ามีรายได้จากธุรกิจ HVP ราว 50% ของรายได้รวม เล็งขายหุ้น IPO ต้น มี.ค.นี้
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI)เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตร 2-3 รายเพื่อร่วมทุนตั้งโรงงานพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (Contract Development and Manufacturing Organization (CDMO) ซึ่งสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงต่างๆ เช่น เอนไซม์, คอลลาเจน, เวย์โปรตีนจากนม, โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก นับเป็นการต่อยอดธุรกิจโดยนำเอาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology: SynBio) มาใช้ เพื่อผลักดันให้ BBGI เป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ (Health and Well-Being) ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสอดรับกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ของภาครัฐ
โรงงาน CDMO ดังกล่าว สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดต้นทุนได้ดีกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม
นายกิตติพงศ์กล่าวต่อไปว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าจะมีรายได้และมาร์จิ้นจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Product) ราว 50% และ 30-50% ของรายได้รวมและกำไรตามลำดับ จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ทั้งผลิตภัณฑ์เอทานอลและไบโอดีเซล โดยมีบริษัทแม่ คือบางจากเป็นผู้รับซื้อเอทานอลและไบโอดีเซลมากกว่า 50% ของกำลังการผลิต
“BBGI มีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตมาโดยตลอดหลายปี แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561-2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 152 ล้านบาท 387 ล้านบาท และ 845 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 100% ต่อปี ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 903 ล้านบาท เติบโต 59% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ BBGI มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต”
ส่วนความคืบหน้าการนำ BBGI เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น คาดว่าดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ราวต้นเดือนมีนาคม 2565 โดยมี บล.กรุงไทย ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ BBGI เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน IPO ไม่เกิน 433.20 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนรวมทั้งสิ้น 64,980,000 หุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) อัตราการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นของ BCP มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ BBGI (Pre-emptive Ratio) ประมาณการเบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณ 20.8939 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ 1 หุ้นสามัญของ BBGI และจะจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญของ ไปบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) จำนวน 43,320,000 หุ้น อัตราการใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของ BBGI (Pre-emptive Ratio) ประมาณการเบื้องต้นจะอยู่ที่ประมาณ 101.8059 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ 1 หุ้นสามัญของ BBGI
ทั้งนี้ บีบีจีไอเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ถือหุ้น 60% และบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ถือหุ้น 40% ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding Company เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล ทำให้ BBGI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศไทย และต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง