GULF ลงนามบันทึกความเข้าใจในการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Lay กำลังผลิต 770 เมกะวัตต์ใน สปป.ลาวกับ กฟผ.แล้ว มีกำหนดจ่ายไฟ ม.ค. 2575
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัท และ Sinohydro (Hong Kong) Holding Ltd. (“SHK”) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Power Construction Corporation of China Ltd. (POWERCHINA) ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Lay กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว และเป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1)
บริษัท และ SHK มีแผนที่จะดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการฯ ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำโขง เมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว มีกำลังผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ และมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในวันที่ 1 มกราคม 2575 โดย กฟผ.จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ในอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 2.6989 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งบริษัทร่วมทุนจะดำเนินการเจรจารายละเอียดเงื่อนไข และลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าร่วมกับ กฟผ.ในลำดับถัดไป
ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการฯ เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-the-River) ที่ไม่มีการกักเก็บน้ำในรูปแบบของเขื่อนประเภทอ่างเก็บน้ำ (Reservoir) และไม่มีการเบี่ยงน้ำออกจากแม่น้ำโขง แต่ใช้การไหลของน้ำตามธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยที่ปริมาณน้ำไหลเข้าเท่ากับปริมาณน้ำไหลออก ดังนั้น โครงการฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง การเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำดังกล่าวเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด
ภายหลังการประชุม COP26 ซึ่งไทยได้ประกาศเจตนารมณ์โดยตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยบริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ และทิศทางพลังงานโลกที่มีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อต่อต้านผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนยังสอดคล้องกับการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของบริษัทฯ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยเฉพาะธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งลูกค้ารายใหญ่อย่าง Hyperscaler มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามทิศทางพลังงานโลก