แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเวทีเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “EEC MOVING FORWARD สร้างโอกาส พร้อมขับเคลื่อน สู่ความยั่งยืน” เจาะลึกติดตามบทบาทและยุทธศาสตร์การพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมไทยใน EEC แนวโน้มและอนาคตของ EEC ความท้าทาย พลิกวิกฤตสู่โอกาส ด้านวิกฤตขาดแคลนแรงงาน การรับมือสถานการณ์โควิดและการขับเคลื่อนองค์กรสู่โรงงานแห่งอนาคต พร้อมด้วยกลยุทธ์สร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการ EEC สู่ความยั่งยืน จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ, เศรษฐกิจการค้าและการพัฒนาชั้นนำของประเทศ
สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งและลงทุนของบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจและการเพิ่มขีดความสามารถศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย พร้อมการลงทุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่ออนาคตอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้ประกอบการไทย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องมา 2 ปี ภาคอุตสาหกรรมการผลิตใน EEC อาจจะได้รับผลกระทบบ้างในช่วงแรก แต่ด้วยการปรับตัวและเตรียมแผนรองรับของหลายองค์กรทำให้สามารถบริหารจัดการให้สายการผลิตเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่กำลังฟื้นตัว นับได้ว่า EEC เป็นพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สร้างโอกาส สร้างงานและการลงทุนที่น่าจับตาอย่างมาก ล่าสุดจากเวทีเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “EEC MOVING FORWARD สร้างโอกาส พร้อมขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน”
โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ขอสรุปมุมมองจากวิทยากร ประเด็นหลักของการสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้พลิกฟื้น คือ การให้ความสำคัญขององค์กรจากระดับโลกและไทย ในด้านความปลอดภัยกับวิกฤตโควิดครั้งนี้ หลายองค์กรต้องนำมาตรการดูแลพนักงานทุกด้านตั้งแต่การเดินทาง การเข้าปฏิบัติงาน การตรวจหาเชื้อโควิด การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดที่จะเพิ่มขึ้น พร้อมการพัฒนาศักยภาพแรงงานโดยการอัปสกิลและรีสกิล เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังมีการแสดงความคิดเห็นในมุมมองด้านการขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ติดเงื่อนไขมาตรการความปลอดภัยจึงไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งจากปัจจัยด้งกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการใน EEC ต้องปรับแผนการดำเนินงานทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว เพื่อจะรับมือสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้ง การรับมือด้านการขาดแคลนแรงงานในบางองค์กรที่เตรียมลงทุนโดยการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในไลน์การผลิตจากเดิมในแผนลงทุนที่อาจจะหลายปีก็ปรับให้เร็วขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทางด้านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตแบ่งเป็น 3 ส่วน ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และพีเพิลแวร์ พร้อมด้วยการทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษาอย่างบูรณาการ
นอกจากนี้ ทางด้าน แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงานระดับโลก ได้ทำโครงการความร่วมมือกับภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ในการพัฒนาและฝึกงานของนักศึกษาเพื่อให้สอดคล้องและตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ภาพรวมของตลาดแรงงานในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบุคลากรอย่างต่อเนื่องตามที่ภาคอุตสาหกรรมได้แบ่งปันจะเป็นแรงงานรองรับกับอุตสาหกรรมส่งออกขณะนี้
รัฐวางโครงสร้างฯ รับการลงทุน และสร้างบรรยากาศความพร้อม เสริมทักษะคนอย่างบูรณาการ
ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี แบ่งงานออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการส่วนต่อขยายของท่าเรือมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบัง งานยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 อุตสาหกรรม และงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น งานด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคืบหน้าไปได้ตามเป้าหมายแล้ว สำหรับงบที่ได้รับการอนุมัติใช้ลงทุนใน EEC ปี 2561-2564 ราว 1.6 ล้านล้านบาททั้งจากภาครัฐและเอกชน แบ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก ส่งเสริมการลงทุนโดย BOI และงบบูรณาการ
นอกจากนี้ยังมีการอัดฉีดงบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Digital Smart Electronics), อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub), อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics), อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่และอาหาร พร้อมด้วยอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ รวม 400,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมด้วยการยกระดับชุมชนและประชาชนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนถึงระดับหมู่บ้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อหารายได้ (ตลาดสด/ อี-คอมเมิร์ซ) ด้านการศึกษาและสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งทุกภาคส่วนขับเคลื่อนไปด้วยกันอย่างบูรณาการ
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตแบ่งเป็น 3 ส่วน ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และพีเพิลแวร์ สำหรับฮาร์ดแวร์บางอย่างต้องลงทุนเพื่อทรานส์ฟอร์เมชันแต่ต้องลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ทางด้านซอฟต์แวร์มองว่าเป็นการลงทุนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์วันนี้ก้าวมาในยุคดิจิทัล ปีที่ผ่านจนถึงวันนี้โต 40% ในการนำระบบออโตเมชันเข้ามาใช้ในการผลิต สิ่งสำคัญคือการบูรณาการสิ่งที่มีกับเทคโนฯ ที่เข้ามาให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด ในส่วนของพีเพิลแวร์ คีย์สำคัญคือการคอนเนกซ์ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการบูรณาการและการปรับตัว ตัวอย่าง ปัจจุบันหลายคนจะใช้แอปพลิเคชันเกี่ยวกับโควิดหลายตัว เพื่อนำใช้งานและตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งแอปพลิเคชันในการสมัครงาน ซึ่งสิ่งสำคัญในการใช้เครื่องมือที่เรียนรู้ไปด้วยกันเพราะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่กับทุกคน พอเรียนรู้แล้วก็ปรับตัว
นอกจากนี้ สำนักงานฯ มีการพัฒนาทักษะบุคลากรไปแล้วกว่า 4.75 แสนตำแหน่ง ซึ่งโจทย์คือต้องบริหารจัดการอย่างไร เพราะจะมีทักษะใหม่ๆ บางอย่างเกิดขึ้นอยู่ตลอด ในส่วนของแรงงานมีทั้งขาดและเกินซึ่งต้องทำอย่างไรให้ทั้งสองส่วนมีความสมดุลกัน พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นแนวทางการทำงานสำนักงานฯ ทำงานแบบคู่ขนานกันกับโครงสร้างพื้นฐานก็คือ ด้านการพัฒนาทักษะบุคลากร ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันในยุคทรานส์ฟอร์มนี้ไม่สามารถโดดไปทำคนเดียวได้
อีกทั้งยังมีการทำงานร่วมกันกับกระทรวงศึกษาฯ กระทรวง อว. สำหรับงบในการบูรณาการด้านการศึกษาไม่ได้นำไปลงทุนซื้อเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรเพราะเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงสร้างแรงจูงใจ (incentive) ให้กับสถานประกอบการบริจาคเครื่องจักรและได้รับสิทธิประโยชน์นำไปลดหย่อนภาษี ซึ่งสำนักงานฯ ได้นำโมเดลที่ทำร่วมกับภาคอุตสาหกรรม มิตซูบิชิ อีเล็คทริค และภาค
การศึกษา ม.บูรพา ในการทำ Automation Park ที่เป็นศูนย์พัฒนาทักษะบุคลากรด้านออโตเมชัน พร้อมกันนี้ ยังได้จัดทำโมเดลร่วมกับผู้ประกอบการจัดทำหลักสูตรเป็นคอร์สอบรมระยะสั้น
โดยสำนักงานฯ สนับสนุน 50% และภาคธุรกิจสนับสนุน 50% ซึ่งเงินในการจ่ายเพื่ออบรมบุคลากรยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วยตามเงื่อนไข ทั้งนี้ หน้าที่ของสำนักงานฯ คือ การสร้างบรรยากาศและส่งเสริมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการ โดยการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการและการประสานความร่วมมือ แลกเปลี่ยนมุมมองความต้องการจากภาคอุตสาหกรรมจริงๆ เพื่อให้เราสามารถสนับสนุนและส่งเสริมได้ตอบโจทย์มากที่สุด
เตรียมแผนรับมือ-ยืดหยุ่น ในทุกวิกฤต
นางสาวปิยนุช วิชิตะกุล Purchasing Director Global Business Services Purchases, P&G Asia, Middle East and Africa มีมุมมองว่า จากวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด ภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถทำงานในรูปแบบ WFH ได้ ดังนั้น การกำหนดมาตรการความปลอดภัยตามมาตรการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตั้งแต่การเดินทางจัดรถรับส่งที่นั่งแบบเว้นระยะ การตรวจโควิด ทั้งพนักงานของเราและคู่ค้า ในส่วนของการฉีดวัคซีนบริษัทดูแลพนักงานและครอบครัวเพื่อให้ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญความปลอดภัยต้องมาก่อนหากบางส่วนงานต้องเลื่อนการผลิต จากปัญหาที่หลายองค์กรต้องเผชิญในวิกฤตโควิดการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้น การวางแผนที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ โดยการหาแรงงานเข้ามาเติมในวิกฤตครั้งนี้เป็นเรื่องยากกับการบริหารจัดการเพราะทุกพื้นที่ได้รับผลกระทบเหมือนกัน ดังนั้นบริษัทจึงต้องวางแนวทางการรับมือทั้งด้านการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงานเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในสถานการณ์นี้ ทั้งนี้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้โดยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งทุกฝ่ายเดินหน้าไปด้วยกัน
นอกจากนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดยังไม่อาจประเมินได้ว่าจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน ดังนั้น จึงต้องเตรียมการบริหารจัดการและทำแผนระยะสั้น ระยะยาว จากปัจจัยข้างต้น วิกฤตด้านกำลังคนเป็นเรื่องที่เกินการควบคุมและยากในการบริหารจัดการ ซึ่งทางองค์กรจึงมีการปรับแผนที่จะนำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานคน ซึ่งมองว่าหลายองค์กรมีแผนการลงทุนด้านนี้อยู่แล้ว แต่อาจจะต้องขยับการลงทุนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ส่วนที่เข้ามาใช้ขั้นตอนการผลิตก็จะมีส่วนของการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งาน (Robotic Arm) แทนการใช้คนในไลน์ผลิตนี้จำนวนมากก็จะลดจำนวนคนลงมา หรือขั้นตอนการตรวจสอบ (QC) เข้ามาแทนคนซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าคน เพื่อรับมือในอนาคตหากเกิดกรณีที่ไม่สามารถให้คนทำงานได้ พร้อมการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทักษะทั้ง Upskill - Reskill เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรขององค์กรให้ทันการเปลี่ยนแปลง
เตรียมพร้อมป้อนแรงงานสู่ภาคอุตสาหกรรม
นายณรงค์ พิศิลป์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์โดยรวมของตลาดแรงงานในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จากวิกฤตขาดแคลนแรงงานในขณะนี้กลุ่มธุรกิจการส่งออกมีความต้องการแรงงานสูงโดยมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจึงทำให้ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากแรงงานยังไม่ได้กลับเข้าระบบเต็มที่ รวมทั้งกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มีการจ้างงานก่อนหน้ายังไม่สามารถเข้ามาทำงานตามปกติได้เพราะโควิดยังแพร่ระบาดอยู่
อย่างไรก็ตาม ทางแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ร่วมกับภาคการศึกษาทั้งระดับอาชีวะและอุดมศึกษาเข้าร่วมทวิภาคีภาคการศึกษามากขึ้น โดยการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นถึงแนวโน้มทิศทางความต้องการของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมพร้อมและนำนักศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้น ซึ่งในช่วงโควิดส่งผลให้นักศึกษากลุ่มนี้ไม่สามารถเข้ามาฝึกงานได้เพราะคำนึงด้านความปลอดภัยและการแพร่ระบาดโควิด
นอกจากนี้ มองว่าภายหลังการเปิดประเทศ ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนครอบคลุมคาดว่ากลุ่มนักศึกษาดังกล่าวจะเข้าระบบแรงงานอีกครั้ง โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ได้สร้างความมั่นใจและให้ข้อมูลอัปเดตอย่างต่อเนื่องกับภาคการศึกษา และยังสร้างความเชื่อมั่นในแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ที่จะสามารถป้อนงานให้กับกลุ่มนักศึกษาได้อย่างเหมาะสม สำหรับโมเดลการจ้างงานระยะสั้น 4-6 ชม. จะช่วยให้นักศึกษาได้ทำงานควบคู่กับการเรียนที่จะได้พัฒนาทักษะไปควบคู่กันก่อนเข้าสู่ระบบเต็มตัวหลังเรียนจบ
ทางด้านการดูแลและรับมือการจัดการแรงงานเอาต์ซอร์ส วิกฤตโควิดช่วง 2 ปี แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ได้จัดการตามมาตรการผู้ประกอบการและยังมีการดูแลในส่วนแรงงานเอาต์ซอร์สที่ต้องเข้าทำงานในพื้นที่ จะมีการตรวจโควิด การฉีดวัคซีน เน้นย้ำด้านการดูแลตัวเองให้ปลอดภัย เพื่อให้สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ตามเงื่อนไข เพราะหากมีการติดเชื้อจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกพื้นที่ประสบปัญหาเดียวกันคือ การเคลื่อนย้ายแรงงานก็ไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่พนักงานติดโควิดจะมีมาตรการดูแลรักษาให้ครบตามกำหนด เพื่อกลับเข้ามาทำงานได้หลังการรักษาตัว
วิกฤตโควิดส่งผลเศรษฐกิจประเทศ ทุกธุรกิจตั้งรับปรับตัวเพื่อธุรกิจเดินหน้า
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยและประธานกรรมการกลุ่มบริษัทในเครือวีเซิร์ฟ กล่าวว่า ประเทศไทยเสียหายจากวิกฤตโควิดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในทุกมิติทั้งด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ ถ้าดูจาก GDP เราสูญเสียมากถึง 2.2 ล้านล้าน อันนี้ยังไม่รวมความเสียหายจากภาคเอกชนที่ต้องหยุดชะงักและการทำงาน WFH นอกจากนี้ยังมีในส่วนของตลาดแรงงานจากข้อมูลในระบบประกันสังคมหายไป 6 แสนกว่าคน ซึ่งยังไม่รวมแรงงานนอกระบบ สำหรับมุมมองด้านแรงงานประเทศไทยมี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรงงานที่หายากส่วนใหญ่เป็นสเปเชียลสกิล และกลุ่มแรงงานภาคปฏิบัติในไลน์ผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้
จากกรณีศึกษาขององค์กรธุรกิจในกลุ่มเอสเอ็มอี เสนอมุมมองว่า ผู้บริหารและผู้นำองค์กรต้องมารีวิวสถานการณ์ตั้งแต่ปัญหา ความเสียหาย กระบวนการบริหารจัดการ ที่เกิดขึ้นในวิกฤตโควิด เพื่อวางแผนในการเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป สิ่งสำคัญจะต้องมองให้รอบด้าน การเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องทางการเงินและการลงทุน รวมทั้งการวางกลยุทธ์ด้านการตลาด (Marketing Strategy) ซึ่งต้องจัดทำแผนที่รองรับลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่าที่เป็นฐานสำคัญ ดังนั้น ต้องเตรียมแผนเชิงรุกแบบเจาะคลัสเตอร์ แต่ไม่ใช่ทำการตลาดแบบเดิมยุคนี้จะอยู่ยาก นอกจากนี้ การปรับโมเดลรองรับการเติบโตตามแนวโน้มธุรกิจออนไลน์ โจทย์คือ ธุรกิจวันนี้ต้องทำคู่กันทั้งออนไลน์และออฟไลน์
นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวสรุปงานสัมมนาว่า “การขับเคลื่อนประเทศสู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งสัญญาณที่ดี ทั้งการตื่นตัวและตั้งรับของภาครัฐจากมาตรการต่างๆ และความพร้อมด้านสาธารณูปโภคที่มีความคืบหน้า และการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ ส่วนภาคแรงงานต้องปรับเปลี่ยนเพื่ออยู่รอด และพัฒนาทักษะเพื่อตอบโจทย์การทำงานและตลาดงานในอนาคต ภาคเอกชนที่มีการวางแผนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยง สามารถดำเนินการด้านการผลิตได้ตามปกติ
EEC เป็นความหวังครั้งสำคัญในการพัฒนา ทั้งทางเศรษฐกิจ, สังคม และความเจริญด้านต่างๆ ซึ่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมจากทุกหน่วยงาน และหากทำสำเร็จ.. ความหวังสู่การเป็นเมืองต้นแบบก็จะสามารถนำไปพัฒนาเมืองอื่นๆ เพื่อให้ประเทศไทยมีความเจริญในหลากหลายพื้นที่เช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากบทสรุปมุมมองความคิดเห็นจากภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในเวทีเสวนาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้นำไปปรับใช้ วางแผนและบริหารจัดการทั้งด้านกำลังคน การรับมือในภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือในการขับเคลื่อนและพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ เพราะแรงงานคือฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในการเข้ามาลงทุน EEC ของประเทศไทย