ผู้จัดการรายวัน 360 - อัลเฟรโด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และแช่เย็นพร้อมรับประทาน โดยจัดจำหน่ายผ่านทาง 7-11, แฟมิลี่ มาร์ท, จิฟฟี่ และอื่นๆ และยังจัดจำหน่ายไปยังซูเปอร์มาร์เกต, ไฮเปอร์มาร์เกต และฟูดเซอร์วิสชั้นนำทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ และอาเซียน ภายใต้แบรนด์ นีโอ พิซซ่า บาย อัลเฟรโด (Neo Pizza by Alfredo), ชีสแท่งรับประทานเล่น ภายใต้แบรนด์ บีรูก้า (B’Ruga) และเค้กแช่แข็งภายใต้แบรนด์ "ครีเอโตะ สวีต" (Creato' Sweet) รวมไปถึงสินค้าอื่นๆ อีกมากมายภายใต้บริษัท อัลเฟรโด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด
นายอมรเทพ อสีปัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลเฟรโด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้เปิดเผยว่า “จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป หรือ new normal หลายๆ บริษัท ต้องให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือ work from home และหลายๆ ร้านอาหารไม่สามารถนั่งรับประทานในร้านได้ การสั่งอาหารทางดีลิเวอรีจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก รวมทั้งอาหารรับประทานเล่น ซึ่งร้านสะดวกซื้อเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้รวดเร็ว และง่ายที่สุด ดังนั้น ตลาดอาหารรับประทานเล่นคาดว่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นทุกปี แต่อาหารรับประทานเล่นต้องเป็นอาหารที่แปลกใหม่ สะอาด สะดวก รวดเร็ว
สำหรับในปลายปี 2564 นี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์สำหรับแบรนด์นีโอ พิซซ่า บาย อัลเฟรโด “ Neo Pizza by Alfredo” โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างภาพจำให้ผู้บริโภคทั้งลูกค้าปัจจุบันของบริษัท และกลุ่มลูกค้าใหม่ ให้จดจำ และระลึกถึงสินค้าพิซซ่าของบริษัทที่มีรสชาติอร่อย คุ้มค่าด้วยวัตถุดิบชั้นดี และมีรูปทรงเฉพาะ เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ทั้งสินค้า และแพกเกจ ภายใต้แนวคิด “พิซซาสามเหลี่ยม” ซึ่งมีจำหน่ายในตู้แช่เย็นของร้านค้าสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำของเมืองไทย โดยใช้งบลงทุนทางด้านการตลาดไปประมาณ 5.0 ล้านบาท โดยมีการนำ Music Marketing มาเป็นจุดขายผ่านทางภาพยนตร์โฆษณาผ่านทางแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย คือ Facebook และ Tik Tok สร้างความโดดเด่นด้วยการใช้เพลง แร็ป ประกอบกับท่าเต้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจดจำได้ง่ายๆ โดยใช้สโลแกนว่า “สามเหลี่ยม นีโอพิซซ่า เด็ดทุกหน้า ชีสยืดทุกคำ” เพื่อสร้างความจดจำได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงนำเสนอถึงจุดขายที่ชัดเจนของแบรนด์
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมร่วมสนุกกับลูกค้า ภายใต้โครงการ “Alfredo - Dance Challenge” โดยเจาะกลุ่มเป้าหมาย ชาย หญิง คนไทย อายุ 18-30 ปี อาชีพ นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน ผ่านช่องทาง Tik Tok เพื่อให้เกิดการรับรู้และตอกย้ำสโลแกนของบริษัท โดยให้ประกวดท่าเต้น ที่ได้รับการกด like มากที่สุดจะได้รับรางวัลเป็น true money wallet คนละ 3,000 บาท จำนวน 50 รางวัล มูลค่ารวม 150,000 บาท ซึ่งเงินรางวัลก็เข้ากับยุคสมัยที่มีการขยายตัวของการใช้เงินดิจิทัลกันมากขึ้น
"นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การขยายช่องทางการตลาดที่กำลังจะเพิ่มขึ้นนั้น เบื้องต้นเรายังคงเน้นจัดจำหน่ายผ่านทางร้านสะดวกซื้อเป็นหลัก โดยเน้นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้เราก็ยังจะเตรียมเปิดตลาดไปยังกลุ่ม AEC ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ซึ่งประเทศดังกล่าวมีความนิยมในสินค้าที่มาจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งเราคาดหวังว่าในปีหน้าเราจะโตจากเดิมกว่า 25%" คุณอมรเทพกล่าวทิ้งท้าย