ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. 64 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสูงสุดในรอบ 7 เดือน หลัง ศบค.ผ่อนล็อกดาวน์ เปิดประเทศ ตรึงดีเซล แต่ยังมีความกังวลโอไมครอนที่กำลังระบาด คาดการจับจ่ายใช้สอยจะเริ่มกระเตื้องขึ้น ดันเศรษฐกิจปีนี้โต 1-1.5%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย. 2564 ว่า ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่ พ.ค. 2564 เป็นต้นมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 43.9 เป็น 44.9 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นระดับ 27.3 มาอยู่ที่ 28.5 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 51.7 มาอยู่ที่ระดับ 52.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 38.8 41.4 และ 54.5 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือน ต.ค. 2564 ที่อยู่ในระดับ 37.8 40.3 และ 53.5 ตามลำดับ
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมาจาก ศบค.ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อเป็นการรองรับมาตรการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ (ประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ) บินเข้ามาประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัว และได้ปรับโดยลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) พร้อมทั้งยกเลิกการเคอร์ฟิว เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้ใกล้เคียงปกติ เพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนี้ ยังมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ส่งผลทางจิตวิทยาในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่คาดว่าจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยของคนไทยในการบริโภคและการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะมีมากขึ้นในช่วงปลายปี รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเข้ามาหมุนเวียนเพิ่มเติมในระบบเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก แต่กลุ่มตัวอย่างมีความกังวลเกี่ยวกับความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วประเทศ และไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนที่มีการแพร่ระบาดในหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน เพราะผู้บริโภคเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันและผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มมีแนวโน้มลดลง ประกอบการฉีดวัคซีนในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงการคลายล็อกดาวน์ และการเปิดประเทศ ส่งผลในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวมากขึ้นในปลายปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาสที่ 4 ปีนี้เป็นต้นไป และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัว 1% ถึง 1.5%” นายธนวรรธน์กล่าว