SCC ชูแนวทางการทำธุรกิจ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero-Go Green-Lean เหลื่อมล้ำ-ย้ำร่วมมือ” แก้วิกฤตเพื่อโลกอย่างยั่งยืน วางงบลงทุนเบื้องต้น 70,000 ล้านบาทใน 7 ปีข้างหน้า หรือปีละ 10,000 ล้านบาทในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล และพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงร้อยละ 20 ภายในปี 2030 และช่วยลดสังคมเหลื่อมล้ำ ตั้งเป้าสร้างอาชีพที่ตลาดต้องการ 20,000 คน
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กล่าวในงาน “SCG ESG Pathway เริ่มด้วยกัน เพื่อเราเพื่อโลก” วันนี้ (8 ธันวาคม) ว่า บริษัทใช้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SD (Sustainable Development) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม วันนี้บริษัทได้ก้าวสู่ปีที่ 109 จึงยกระดับ SD สู่แนวทาง ESG 4 Plus ประกอบด้วย การมุ่ง Net Zero, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ และย้ำร่วมมือ Plus เป็นธรรม โปร่งใส
แนวทางที่ 1 - มุ่ง Net Zero บริษัทตั้งเป้าหมายสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานคาร์บอนต่ำอย่างพลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) แทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงวิจัยและลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเตรียมทดลองนำร่องใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage - “CCUS”) เป็นต้น รวมทั้งปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน 3 ล้านไร่ และป่าโกงกาง 3 หมื่นไร่ ดูดซับ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างฝายชะลอน้ำ 130,000 ฝาย เพื่อฟื้นความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ป่าต้นน้ำ
แนวทางที่ 2 - Go Green บริษัทมุ่งพัฒนานวัตกรรมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้ทรัพยากรตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปด้วยกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เป็น 2 เท่าจากร้อยละ 32 เป็นร้อยละ 67 ภายในปี 2030 เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ระบบหลังคา SCG Solar Roof Solutions นอกจากนี้ ได้จัดตั้งบริษัท SCG Cleanergy เพื่อให้บริการโซลูชันผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งแสงอาทิตย์และลม ทั้งในไทยและต่างประเทศ, CPAC Green Solution ช่วยให้ก่อสร้างเสร็จไว ลดของเหลือทิ้งในงานก่อสร้าง, Green Polymer นวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพีทั้งหมดสามารถรีไซเคิล ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ในปี 2050
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า บริษัทคาดจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 70,000 ล้านบาทใน 7 ปีข้างหน้า หรือเฉลี่ยปีละ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการมุ่งสู่แนวทาง Net Zero และ Go Green ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลงร้อยละ 20 ภายในปี 2030
ส่วนแนวทางที่ 3 Lean เหลื่อมล้ำ - มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการให้แก่ชุมชนรอบโรงงาน และ SMEs 20,000 คนภายในปี 2025 เช่น อาชีพพนักงานขับรถบรรทุก โดยโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ อาชีพช่างปรับปรุงบ้าน โดย Q-Chang (คิวช่าง) อาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ และขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ผ่านโครงการพลังชุมชน อาชีพผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลผู้สูงอายุ ผ่านทุนการศึกษาจากโครงการ Learn to Earn รวมถึงเสริมความรู้เพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร ด้วย Kubota Smart Farming เป็นต้น
แนวทางที่ 4 ย้ำร่วมมือ - บริษัทมุ่งสร้างความร่วมมือขับเคลื่อน ESG กับหน่วยงานระดับประเทศ อาเซียน และระดับโลก เช่น ร่วมกับไปรษณีย์ไทยและองค์การเภสัชกรรม ในโครงการ “ไปรษณีย์ reBOX” รีไซเคิลกล่องกระดาษเหลือใช้ ร่วมกับ PPP Plastic จัดการขยะพลาสติกเพื่อนำกลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล, ร่วมกับ Unilever เปลี่ยนขยะพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนเป็นพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงสำหรับผลิตขวดบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล และร่วมกับ Global Cement and Concrete Association (GCCA) ลดการปล่อยและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในเนื้อคอนกรีตในอุตสาหกรรมซีเมนต์
Plus เป็นธรรม โปร่งใส - บริษัทขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง ESG 4 Plus ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) อย่างต่อเนื่อง ดำเนินทุกกิจกรรมอย่างเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้
“โลกกำลังเผชิญวิกฤตอากาศแปรปรวน จากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทรัพยากรทั่วโลกขาดแคลน ขณะที่โควิด-19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมขยายวงกว้าง คาดว่าปี 2022 คนตกงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 205 ล้านคน เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันกู้วิกฤตโลก โดยใช้ ESG (Environmental, Social, Governance) มาใช้ดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ เอสซีจีและพนักงานทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ นับจากนี้ ESG 4 Plus จะเป็นภารกิจสำคัญที่พวกเราจะทุ่มเทความพยายามอย่างสุดความสามารถ ผสานทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ โดยใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยีช่วยบรรเทาวิกฤตที่เกิดขึ้นและดูแลสังคมให้ยั่งยืน อย่างไรก็ดี บริษัทไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้โดยลำพัง จึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมดูแลโลกของเราให้น่าอยู่ และส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานต่อไป เริ่มด้วยกัน เพื่อเรา เพื่อโลกที่ยั่งยืน” นายรุ่งโรจน์กล่าว